Gag

วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เป็นเด็กต้องเคารพผู้ใหญ่เสมอไปหรือเปล่า ?

       
การไหว้ถือเป็นวัฒนธรรมอันโดดเด่นของประเทศไทย เวลาที่ฝรั่งมาประเทศไทยแล้วเห็นคนไทยไหว้ให้กันฝรั่งคงจะรู้สึกว่าเป็นวัฒนธรรมที่แปลก เพราะต่างชาติเขาทักทายด้วยวิธีการอื่น เช่น การจับมือ การเอาแก้มชนกัน เป็นตัน 

       แต่กระนั้นพ่อแม่ของเราก็ได้สั่งสอนให้รู้จักไหว้ผู้ใหญ่ทุกๆคนไม่ว่าเราจะรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม เพราะถือเป็นการแสดงออกถึงความมีมารยาทและกาลเทศะ ที่จะต้องเคารพผู้มีอายุสูงกว่า


       แต่บ้านเมืองของเราสมัยนี้ มีผู้ใหญ่หลายคนหรือหลายกลุ่มมีพฤติกรรมที่ไม่น่าเคารพ จนเด็กๆรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเคารพผู้ใหญ่ประเภทนี้ แต่สังคมก็กลับมีอคติว่า "ยังไงเขาก็อายุมากกว่าเรา ยังไงก็ต้องเคารพ" ซึ่งผมคิดว่าสังคมไทยควรจะเปลี่ยนความคิดเสียใหม่สักที


       ผมคิดว่าเด็กๆเขายินดีที่จะเคารพผู้ใหญ่ทุกๆคน แต่ถ้าวันใดเด็กรู้ว่าผู้ใหญ่คนนั้นไม่ควรค่าแก่การเคารพ ผมคิดว่าก็เป็นสิทธิของเด็ก และมันเป็นการที่เด็กจะได้รู้ตัวเองว่าจะไม่เอาเยี่ยงอย่างผู้ใหญ่คนนี้



       หากพูดถึงระบบในสังคมไทยที่บังคับให้เด็กต้องไหว้คนที่อายุมากกว่า ก็คงหนีไม่พ้นระบบ SOTUS ในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นระบบที่รุ่นพี่จะใช้อำนาจในการควบคุมหรือบังคับรุ่นน้องที่เข้ามาเรียนใหม่ๆ แต่ก็มักจะมีข่าวว่ารุ่นพี่ทำเกินกว่าเหตุจนเป็นผลกระทบถึงจิตใจและการดำเนินชีวิตของรุ่นน้อง ดังนั้นระบบในมหาวิทยาลัยแบบนี้ผมจึงไม่ค่อยเห็นด้วย แต่น่าจะเปลี่ยนระบบให้เป็น "พี่พบน้อง" เพื่อที่รุ่นพี่จะได้วางแนวทางการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยแก่รุ่นน้อง รุ่นน้องก็จะสามารถปรับตัวได้ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความเอาใจใส่ของรุ่นพี่ต่อรุ่นน้อง ในส่วนที่รุ่นน้องจะเคารพรุ่นพี่หรือไม่นั้น ก็ให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรุ่นน้องเองดีกว่า อย่าไปบังคับให้รุ่นน้องต้องไหว้คนนู้นคนนี้เลย เรียนจบไปก็ไม่ได้เจอกันอยู่ดี จริงมั๊ย ?

วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หนูโตขึ้นอยากเป็นอะไร ?

       พ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะถามลูกๆของเขาว่า โตขึ้นลูกฝันอยากเป็นอะไร ? ลูกก็คงใช้ความคิดสักพัก แล้วก็จะตอบอาชีพคล้ายๆกันว่า " อยากเป็นหมอ จะได้ช่วยรักษาคนไข้ " " อยากเป็นทหาร เพื่อที่จะปกป้องประเทศ " แต่หารู้ไม่ว่าเส้นทางการที่จะเป็นอาชีพนั้นๆได้ ต้องใช้ความพยายามเท่าไร ยิ่งอาชีพหมอ ที่ต้องเรียกว่ากินหนังสือแทนข้าว เด็กเหล่านั้นจะรู้หรือไม่ว่าเขาจะทำได้เพียงใด ? แล้วการเป็นทหารจะต้องผ่านการฝึกอันแสนทรหด เขาจะมีความอดทนเพียงพอหรือไม่

       สิ่งที่สังคมควรจะปรับเปลี่ยนในวันนี้คือ ควรถามกับเด็กๆว่า อนาคตลูกๆจะดูแลพ่อแม่อย่างไร ? คำถามนี้จะทำให้เด็กได้ใช้ความคิดมากขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่เด็กไม่ค่อยได้คิดว่าจะต้องทำในอนาคต เนื่องจากใช้ชีวิตโดยอาศัยเงินจากพ่อแม่อยู่เป็นประจำ คำถามแบบนี้ผมคิดว่าน่าจะดูดีกว่าการถามคำถามเดิมๆแล้วเด็กก็ตอบตามค่านิยมทางสังคมว่าอยากเป็นหมอ อยากเป็นทหาร ทั้งที่อาชีพในโลกนั้นมันก็ไม่ได้มีเพียง 2 อาชีพนี้เท่านั้น

       อย่างไรก็ตาม หากลูกยังไม่ได้คิดว่าอยากจะทำอะไร สิ่งที่สำคัญก็คือ พ่อแม่ควรจะสังเกตุว่าลูกของตนเองอยู่กับสิ่งใดได้นานๆ หรือลูกของตนชอบดูรายการทีวีเกี่ยวกับอะไร จากนั้นควรใช้เวลาพูดคุยกับลูกเป็นระยะๆ เพื่อที่เราจะสามารถค้นหาหนทางในการส่งเสริมให้ลูกได้เป็นในสิ่งที่เขาอยากเป็น

คนซื้อรถสปอร์ต = โง่ ?

       ผมเคยได้ยินคนพูดว่า " ไอพวกซื้อรถหรูๆอะโง่ทั้งนั้น แทนที่จะเก็บตังไว้ใช้ยามเจ็บไข้ " ซึ่งถ้าดูเผินๆก็เป็นเรื่องจริงที่คนเราควรมีการประกันความเสี่ยงในการดำเนินชีวิตไว้ เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะเป็นอะไรไป

       แต่สิ่งที่คนเหล่านั้นไม่รู้ คือ ในขณะที่คนรวยๆนั้นซื้อรถสปอร์ต คือ คนรวยๆคนนั้นอาจจะมีความมั่นคงทางชีวิตแล้วก็ได้ เขาอาจจะมีบ้านหลังใหญ่ที่มั่นคง มีเงินประกันสุขภาพ หรือประกันชีวิตพร้อมจ่ายให้ตนเอง พ่อแม่หรือญาติพี่น้องอยู่ตลอดเวลา หรืออาจเรียกได้ว่าคนเหล่านั้นมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว การที่เขาจะซื้อรถสปอร์ตก็คงไม่ใช่เรื่องโง่ ลองมองโลกในแง่ดีเขาอาจจะซื้อเพราะให้เป็นของขวัญแก่ตนเองที่พากเพียรสร้างฐานะจนร่ำรวยขึ้นมาได้ขนาดนี้ ฉะนั้นผมจึงคิดว่าการซื้อรถหรูนั้น อาจจะไม่ได้โง่เสมอไป

       แต่ถ้าคนที่ใฝ่ฝันอยากมีรถสปอร์ต พอเก็บเงินได้ก็ซื้อทันที โดยไม่ได้เตรียมเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉินเลย อันนี้ผมถือว่าโง่ เพราะคนเราควรจะมีการบริหารความเสี่ยงในชีวิตที่ดีก่อน จากนั้นค่อยทำตามความฝันก็ได้ แต่ก็เกิดคำถามขึ้นมาอีกว่า " พออายุเยอะขับรถสปอร์ตมันก็ได้ไม่เท่แล้วดิพี่ " อันนี้ก็แล้วแต่ชีวิตของคุณแล้วกันครับ

ซื้อบ้านก่อน VS ซื้อรถก่อน

ซื้อบ้านก่อน VS ซื้อรถก่อน

       คนทุกคนล้วนมีความฝันที่จะมีบ้านหลังใหญ่โต มีสนามหญ้าและสวนดอกไม้หน้าบ้าน อยากมีรถสปอร์ตขับอย่าง Lamboghini หรือ Ferrari แต่ก็จนปัญญาที่จะซื้อ แล้วเราจะทำอย่างไรดีที่ความฝันของเราจำเป็นจริงเสียที ? เราจะไปเป็นนายกฯ แล้วโกงกินดีกว่า อ๊ะคงไม่ดี (จะโดนลอบสังหารมั๊ย)

       ผมเคยถามถ้าพี่มีเงิน 10 ล้านน้องว่าจะซื้อบ้านหรือรถก่อนดี น้องก็ตอบมาว่า ก็ต้องซื้อบ้านก่อนดิ ไม่งั้นจะมีที่จอดรถได้ยังไง คำตอบของน้องอายุ 10 ขวบทำให้ผมอึ้งไปสักพัก แล้วก็กลับมาคิดว่ามันก็จริงแฮะ แต่ลองถามว่าผู้คนในปัจจุบันอยากได้อะไรมากกว่ากัน ก็คงจะตอบว่าอยากได้รถก่อน ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ เพราะไม่อยากไปใช้ขนส่งสาธารณะ มันไม่มีความส่วนตัว ไม่อยากต้องเบียดเสียดคนทำงานตอน 8.00น. ใน BTS หรือ MRT

       แต่เชื่อหรือไม่ว่าถ้าคุณไปซื้อรถด้วยความคิดที่ว่าอยากมีความส่วนตัว มันคงเป็นความคิดที่เอาแต่ใจเกินไปหน่อย คุณลองคำนวณค่าใช้จ่ายจากการใช้ขนส่งสาธารณะต่อวันกับใช้รถส่วนตัว คุณจะพบว่าการใช้รถส่วนตัวนั้นกินค่าใช้จ่ายของคนเรามากกว่ามาก แต่เพราะเราไม่ได้จ่ายในค่าใช้จ่ายเหล่านั้นทุกวัน เช่น ค่าน้ำมัน ค่าเสื่อมของรถ ค่าเปลี่ยนอะไหล่ มันจึงทำให้คนเราคิดว่าการใช้รถส่วนตัวนั้นประหยัดกว่า

       รถยนต์นั้นจะเสื่อมค่าลงทุกวัน โดยเฉลี่ยเราจะใช้รถได้อายุ 5-10 ปี แต่ถ้าเราซื้อบ้านก่อน จะพบว่าบ้านมีแต่ราคาจะเพิ่มขึ้นทุกวัน ด้วยการที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ประเภทหนึ่ง สาเหตุที่สำคัญที่ผมคิดว่ามันมีส่วนต่อราคาสินทรัพย์เหล่านี้ คือ การเจริญเติบโตของบ้านเมือง การขยายตัวของประชากร ยิ่งความเจริญแผ่ขยายมาจากเมืองใหญ่ๆ ราคาสินทรัพย์ทั้งในเมืองหรือตามชานเมืองก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ฉะนั้นการซื้อบ้านก่อนจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าแน่นอนครับ ซื้อบ้านในวันนี้ไม่แน่ว่าในอนาคต 20 ปีข้างหน้าราคาบ้านอาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเลยก็ได้ กลายเป็นได้รับประโยชน์ 2 เด้งจากการที่ได้อยู่อาศัยในบ้าน กับ ผลประโยชน์เมื่อเราขายบ้านก็ได้ผลตอบแทนเท่าตัว

     


     

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ทำยังไงถึงจะรวย VS ทำยังไงถึงจะไม่จน


       เมื่อเราลองค้นหาใน Google มักจะเจอผู้คนถามในกระทู้ต่างๆว่า "ทำยังไงถึงจะรวยครับ" "อยากรวยต้องทำธุรกิจใช่มั๊ยครับ" แต่เคยเห็นบ้างมั๊ยว่ามีใครเคยถามบ้างว่าทำยังไงถึงจะไม่จน คงจะหายากมากๆเลยสินะครับ สาเหตุก็เพราะคนที่ถามว่าทำยังไงถึงอยากรวย มักจะมองไปข้างหน้าว่าอนาคตเราจะต้องไปให้ถึงจุดๆนั้นให้ได้ เช่น อยากมีเงิน 100 ล้าน 1,000 ล้าน จึงต้องเสาะแสวงหาแนวทางหรือวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การลงทุนในหุ้น การสร้างธุรกิจ การหารายได้เสริม เป็นต้น เพื่อที่จะบรรลุความต้องการดังกล่าว แต่พอให้ทำเข้าจริงๆก็กลับบ่นว่า ขี้เกียจศึกษา ไม่ชอบทำอะไรเสี่ยงๆ สุดท้ายก็ทำได้แปปเดียวแล้วก็เลิกรากันไป

     
ผมอยากให้คุณลองเปลี่ยนความคิดมาที่ "ทำยังไงถึงจะไม่จน" ก็เพราะความคิดแบบนี้เป็นการมองไปข้างหลัง เพื่อให้เห็นว่าความจนกำลังไล่ตามเราอยู่ หลายคนคงจะสงสัยว่า แล้วจะเห็นเจ้าความจนนี้ไปเพื่ออะไร ? ผมก็จะตอบว่า เวลาที่คนเราอยู่ในภาวะวิกฤต หรือในภาวะที่ต้องเอาตัวรอด คนเราก็จะมีความพยายามอะไรบางอย่างที่ทำให้เราต้องค้นหาวิธีการที่ทำให้สามารถเอาตัวรอดไปให้ได้ มันจะเป็นตัวกระตุ้นให้เราเดินหน้าต่อไปด้วยความพยายามที่เรามีจนถึงที่สุด ในที่นี่ก็คือเจ้าความยากจนที่กำลังไล่ตามเราอยู่ เราจะต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อไม่ให้มันตามทัน เราหยุด 1 ก้าว มันก็จะขยับเข้าหาเราอีก 1 ก้าว



       หากจะเปรียบความยากจนเป็นอัตราเงินเฟ้อ ก็คงจะพอเปรียบเทียบได้ เพราะโลกทุกวันนี้นี้ต้องเผชิญกับข้าวของที่ราคาแพงขึ้น ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นปีละ 3% นั่นแปลว่าเงิน 100 บาทในวันนี้ หากไม่นำไปลงทุนหรือฝากธนาคาร ใน 1 ปีข้างหน้าเงิน 100 บาทจะเหลือเพียง 97 บาท ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? เพราะข้าวของเครื่องใช้ เมื่อเวลาผ่านไปราคาจะขยับเพิ่มขึ้นนั่นเอง เช่น ปกติเราซื้อข้าว 20 บาท/จาน ผ่านไปอีกปีราคาข้าวเพิ่มขึ้นเป็น 25 บาท/จาน ทำให้อำนาจซื้อในเงิน 100 บาทลดลง นั่นจึงแสดงให้เห็นว่าเราเริ่มจนลง เพราะความยากจนไล่ตามเราอยู่ตลอดเวลา

         เราลองมาเปรียบเทียบชีวิตของคนเรากับนิทานกระต่ายกับเต่าดูบ้าง เราคงเปรียบได้ว่าคนจนก็คือเต่า ส่วนคนรวยก็คือกระต่าย หากทั้งสองต้องมาวิ่งแข่งกัน แน่นอนว่ากระต่ายยังไงก็ชนะ เพราะกระต่ายมีทุนสูงกว่า เช่น ขายาวกว่า มีพละกำลังเยอะกว่า การจะก้าวเดินไปสู่เส้นชัยจึงง่ายกว่ามาก แล้วเต่าล่ะ การจะเดินไปในแต่ละครั้งเชื่องช้าจนไม่รู้ว่าเส้นชัยนั้นอยู่ที่ไหน แต่อย่าลืมว่าเส้นชัยมันก็ไม่ได้หนีเราไปไหน มันยังคงอยู่ที่เดิม หากวันนี้เต่าน้อยพยายามมากขึ้น ลองหาเส้นทางลัดที่จะสามารถไปสู่เส้นชัยได้เร็วขึ้น สักวันก็จะไปถึงเส้นชัยได้แน่นอน ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องไปเปรียบเทียบกับกระต่าย เพราะฐานะหรือทุนของเขาต่างกับเรามาก เราลองต่อสู้กับตัวเองและใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีนำพาเราสู่เส้นชัย

       สรุปก็คือ ผมอยากจะให้ทุกคนเปลี่ยนความคิดให้เราทำอะไรก็ได้ให้ไม่จน อย่าให้ความจนไล่ตามเราทัน เพราะการคิดที่เปรียบเสมือนมีสิ่งที่เลวร้ายไล่ตามเราอยู่ตลอดนั้น มันจะทำให้เรารู้สึกกลัวและไม่อยากพบเจอกับสิ่งเลวร้ายนั้น แล้วมันก็จะกระตุ้นให้เราทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอดจากมันนั่นเอง อย่าลืมนะครับว่า " ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที จงทำชีวิตของเราให้มีความสุขที่สุด "