Gag

วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557

เอะอะ อะไรก็กินเหล้า ๆ !!

       
ก่อนจะเข้าสู่บทความผมขอให้คุณผู้อ่านได้อ่านข้อความดังต่อไปนี้ก่อนครับ

วัยรุ่นเมืองกรุงเก่าที่ก่อเหตุเมาแล้วขับรถยนต์พุ่งชนด่านตรวจ ต.บ้านเกาะ ได้รับความเสียหาย สำนึกผิดเข้าขอโทษผู้ว่าฯพระนครศรีอยุธยา รับปากจะไม่ทำพฤติกรรมเช่นนั้นอีก

" ปภ.สรุปตัวเลขอุบัติเหตุเซ่นสงกรานต์มรณะ 7 วันอันตรายตาย 322 ศพ บาดเจ็บ 3,225 คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุดได้แก่ เมาแล้วขับ "

         เป็นที่น่าสังเกตุว่า อุบัติเหตุต่างๆหรือเหตุการณ์ก่ออาชญากรรม ผู้ต้องหามักอ้างว่าตัวเองทำไปเพราะขาดสติ เนื่องจากเมาสุรา แต่การลงโทษของบ้านเมืองก็แค่จับห้องขังหรือปรับเพียงเท่านั้น แต่สาเหตุที่แท้จริงก็คือ สุรา ที่นำมาวางขายนั่นล่ะ

       คงไม่ต้องตอบเลยว่าถ้าเกิดมีคนที่คิดจะล้มเลิกการขายสุราภายในประเทศ เพราะประชาชนเกินกว่า 50% คงจะไม่พอใจเป็นแน่ ยิ่งผู้ผลิตรายใหญ่ในประเทศยิ่งต่อต้านอย่างแน่นอน

       ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพอเราโตขึ้นแล้วถึงต้องหาวิธีเข้าสังคมด้วยการดื่มเหล้าเบียร์ จะไม่มีวิธีการอื่นๆเลยหรือ ที่มันเป็นการเข้าสังคม เช่น การกินข้าวนอกบ้าน การออกไปเที่ยว เป็นต้น

พอไปถามว่าทำไมต้องกินเหล้า คนก็มักจะตอบว่า มันเป็นการเข้าสังคม
พอไปถามว่าทำไมต้องกินเหล้า คนก็มักจะตอบว่า กูอกหัก ขอกินเหล้าเพื่อย้อมใจ
พอไปถามว่าทำไมต้องกินเหล้า คนก็มักจะตอบว่า วันนี้โบนัสเงินเดือนออก เลยเลี้ยงเพื่อน
พอไปถามว่าทำไมต้องกินเหล้า คนก็มักจะตอบว่า โตแล้ว จะกินอะไรก็ได้

       ทั้งที่ผลสุดท้ายของการกินก็คือ เมา เท่านั้น แล้วยังไง มันทำให้ความรู้สึกเสียใจจากการอกหักหายไปมั๊ย สุดท้ายก็ต้องขับรถกลับบ้านแล้วก็ต้องมาเสี่ยงชีวิตอีก อย่าคิดแค่ตัวคนดื่มเองที่เสี่ยง ลองคิดถึงคนที่เดินข้างทางหรือคนขับรถคนอื่นๆด้วย ยกเว้นแต่คุณดื่มแล้วชนเกาะกลางถนนตายไปคนเดียวก็แล้วไป (พูดตรงๆ)

เลิกกินเหอะ สังคมไทยจะได้น่าอยู่ขึ้น

       ดังนั้นผมจึงอยากให้ผู้คนลดค่านิยมว่าโตแล้วกินเหล้าได้ ทั้งที่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไปกินน้ำอัดลมแทนกันไม่ได้หรือ จริงอยู่ว่ามันก็ไม่มีประโยชน์เหมือนกัน แต่มันก็ไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นๆ

วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557

เมื่อโลกต้องสูญสิ้น มนุษยชาติจะเอาตัวรอดอย่างไร ?

       เมื่อโลกต้องสูญสิ้น มนุษยชาติจะเอาตัวรอดอย่างไร ?

       เป็นคำถามที่น่าคิดว่าในอนาคตไม่ว่าจะอีกกี่แสนกี่ล้านปี โลกของเราก็จะต้องมีการดับสูญอย่างแน่นอน เพราะโลกของเราก็มีอายุขัยไม่ต่างกับมนุษย์ เราลองมาดูก่อนว่าอนาคตโลกของเราจะเป็นอย่างไร ? ซึ่งตามวงจรชีวิตของดาวนั้น โลกของเราเมื่อถึงวาระจะขยายตัวกลายเป็นดาวสีแดงขนาดยักษ์ แล้วก็จะดับสูญใน 2  รูปแบบ ได้แก่

1. Super Nova คือการระเบิดครั้งใหญ่ ซึ่งเมื่อระเบิดแล้ว ภายหลังจะเกิดแรงโน้มถ่วงมหาศาลดูดสิ่งต่างๆเข้ามาแม้กระทั่งแสง ซึ่งเรียกว่า หลุมดำ (ฺBlack Hole)

2. Nebura คือ สลายกลายเป็นฝุ่นจักรวาล ซึ่งจะสามารถรวมตัวกันเกิดเป็นดาวดวงใหม่ได้อีกครั้งหนึ่งแต่อาจจะต้องใช้เวลาเป็นล้านๆปี กว่าที่จะรวมตัวกันได้

       ในโลกปัจจุบันที่แต่ละประเทศให้ความสำคัญกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เพราะเศษฐกิจพัฒนา ก็จะทำให้รายได้ต่อหัวของประชากรสูงขึ้น หรือก็คือประเทศร่ำรวยขึ้นนั่นเอง ซึ่งคงไม่มีประเทศไหนมานั่งห่วงว่าสักวันโลกของเราจะเป็นอย่างไร

       ในเมื่อสักวันหนึ่งโลกใบสีฟ้าดวงนี้จะต้องดับไป ผมคิดว่าพระเจ้าผู้ซึ่งเห็นแก่นแท้ของชีวิตจึงประทานภูมิปัญญาและความรู้ให้แก่มนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนของบรรดาสรรพสิ่งต่างๆ ในการนำความรู้ความสามารถ และสติปัญญา ค้นหาหนทางในการที่จะเอาชีวิตรอดจากภัยที่จะมาถึง ซึ่งสำหรับผมคิดว่าหนึ่งในสาขาวิชาที่ตอบโจทย์ได้อย่างเต็มเปี่ยมก็คือ ด้านวิทยาศาสตร์

       ปัจจุบันแม้เทคโนโลยีของเรายังไม่สามารถการันตีได้ว่าการเดินทางออกนอกโลกจะมีความปลอดภัย 100% แต่การที่เราให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี ให้ทุนกับการวิจัยคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ สักวันการเดินทางออกนอกโลกก็คงดูจะเป็นเรื่องธรรมดาได้ เหมือนกับหนังเรื่อง Star Wars แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านั้นได้ทันก่อนที่โลกจะสูญสิ้นหรือปล่าว

       แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนเมื่อสักวันที่โลกสูญสิ้น คำตอบที่สามารถตอบได้ในเวลานี้ก็คือ ดาวดวงใหม่ ที่จะต้องมีคุณสมบัติคล้ายโลก แต่ใช่ว่าการหาดาวดวงนั้นจะหาได้ง่ายๆ และการเดินทางไปถึงก็คงต้องใช้เวลาหลายศตวรรษ ดังนั้นเราจึงต้องมีแหล่งพักพิงนอกโลกที่สร้างด้วยวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อที่จะมีเวลาเพิ่มขึ้นในการวิจัยและค้นหาวิธีการเดินทางสู่โลกใหม่ต่อไป

       หากใครเคยดูหนังเรื่อง Elysium คงจะเคยได้เห็นแหล่งพักพิงในอวกาศตามจินตนาการของผู้เขียนบทหนังได้ ซึ่งถือว่ามีความสวยงามและผมคิดว่าน่าจะเป็นต้นแบบที่ดีชิ้นหนึ่งที่เราควรจะนำไปสร้างจริงๆจังๆ

Elysium
แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงการที่จำทำให้เป็นแบบนั้นได้นั้น ยังจะต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้ก่อนว่า

       - เราจะปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นแหล่งอาหารแก่มนุษย์อย่างไร
       - เราจะหาแหล่งน้ำจากที่ไหน

       แต่เชื่อว่าในอนาคตมนุษย์คงจะสามารถคิดค้นเทคโนโลยีที่สามารถนำพาเราออกสู่นอกอวกาศได้ โดยใช้งบประมาณการสร้างยานน้อยลง เหมือนกับโทรศัพทืมือถือที่เมื่อเปิดตัวใหม่ๆมีราคาสูงมาก แต่เมื่อเทคโนโลยีถูกแพร่กระจายไปเรื่อยๆ สิ่งเหล่านั้นก็จะมีราคาถูกลง ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้ออกไปพบกับความรู้สึกใหม่ๆในห้วงอวกาศ รอคอยการค้นหาดาวดวงใหม่ต่อไป

วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557

พอสักทีกับตรรกะ "มีเงินแต่ไม่มีความสุข"

     
       ก่อนอื่นขอบอกว่าผมไม่ได้ไม่เห็นด้วยกับตรรกะนี้นะ เพียงแต่ผมมีความคิดเห็นว่า ตรรกะนี้ทำให้คนไม่อยากพัฒนาตนเองเพื่อที่ในอนาคตจะได้รับสิ่งดีๆหรือผลตอบแทนจากการทำงานให้มากขึ้น เพราะในเมื่อคนไม่เห็นความสำคัญของเงิน ในใจของคนๆนั้นจะรู้สึกว่าผลตอบแทนมันเพียงพอแล้วสำหรับเขา ชีวิตคงไม่ต้องการความสุขอะไรไปมากกว่านี้ ทั้งๆที่ในใจก็อยากมีชีวิตที่สุขสบาย ไม่ต้องมานั่งทำงานให้เหนื่อยทุกๆวัน ไม่ต้องทำ OT ไม่ต้องกังวลว่าวันไหนเจ้านายจะบ่นเรื่องงาน ดังนั้นจงเปลี่ยนความคิดซะเดี๋ยวนี้ อย่าให้ตรรกะที่ฟังเหมือนดูดีมาบดบังอิสรภาพของคุณ

       ผมมีความคิดอยู่หนึ่งอย่างที่ตรงกับหนังสือเล่มหนึ่ง คือ ผมอยากจะเปลี่ยนตรรกะดังกล่าวเป็น "เงินสามารถซื้อความสุขได้ แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง" (ในหนังสือ งานไม่ประจำทำเงินกว่า ของพี่บอยวิสูตร)
ลองคิดดูให้ดีว่าทุกวันนี้คุณทำงานเพื่ออะไร คงจะไม่มีใครตอบว่า ชอบการทำงาน ชอบเหนื่อยก็เลยทำ แต่ทุกคนทำงานเพื่อที่จะมีเงิน พอมีเงินก็จะนำไปซื้อข้าวที่เราอยากกิน ซื้อบ้านที่เราอยากอยู่ ซื้อรถที่เราอยากขับ ให้พ่อให้แม่ได้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และสิ่งสำคัญมากไปกว่าการซื้อสิ่งของเหล่านี้ก็คือการซื้อสุขภาพที่ดี

     ผมเชื่อว่าหลายๆครอบครัวคงจะปลูกฝังให้ลูกหลานเป็นคนดี อย่าเห็นเงินเป็นสิ่งสำคัญจนเกินไป แต่ผมอยากจะขอแย้งเพียงนิดนึงว่า เงินเป็นสิ่งอันดับแรกๆที่คุณควรจะต้องให้ความสำคัญ แต่เงินที่ได้มาต้องเป็นเงินที่สุจริตอย่างแท้จริง ไม่คดโกง ไม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมหรืออำนาจเพื่อเอาเปรียบคนอื่น จงอย่าไปกลัวว่าคนอื่นจะกล่าวหาว่าเราเป็นพวกหน้าเงิน เพราะเราทำอาชีพสุจริต ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่อย่างงั้นคนรวยๆก็ถูกหาว่าหน้าเงินไปหมดสิ

       คุณพอล ภัทรพลเคยเล่าเรื่องอิสรภาพทางการเงิน ในคลิบโปรโมตหนังสือ "เหนื่อยชั่วคราว สบายชั่วโคตร " อิสระภาพทางการเงินเปรียบเสมือนการทำการบ้าน ลองนึกย้อนไปในสมัยเราเรียนหนังสือ คุณครูมักจะให้การบ้านเรามาทำที่บ้าน ถ้าทำไม่เสร็จก็จะไม่ได้คะแนน ทีนี้ลองมาเปรียบกับชีวิตจริงถ้าเราไม่ทำการบ้านเรื่องเงิน เราก็จะไม่ได้มีชีวิตที่มีความสุขในวันข้างหน้า ดังนั้น จงรีบทำการบ้านให้เสร็จตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่คุณจะได้มีชีวิตที่สุขสบายในอนาคต



       ลองถามว่า ตั้งแต่เกิดมาจนคุณอายุ 40 คุณใช้ชีวิตโดยไม่เห็นความสำคัญของเงิน คุณใช้ชีวิตไปวันๆ สร้างความสุขขึ้นมาตราบเท่าที่เงินเรามี จนวันหนึ่งพ่อแม่ของคุณป่วยขึ้นมาและต้องเข้ารับการรักษาที่มีค่ารักษาพยาบาลแพงมากเป็นหลักแสนหลักล้าน คุณจะยังเห็นว่าเงินมีความสำคัญอยู่มั๊ย ถึงตอนนั้นแม้คุณจะสามารถหนทางแก้ไขปัญหาการเงินได้ เช่น ไปกู้ธนาคาร ไปยืมญาติพี่น้อง แต่มันก็กลับกลายเป็นสร้างภาระหนี้สินให้กับครอบครัว แล้วต่อจากนั้นคุณจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างไร

       อนาคตเป็นสิ่งที่เราคาดเดาไม่ได้ แต่ชีวิตของเราถ้าเรามีความพยามยามในวันนี้ สักวันหนึ่งมันก็จะต้องประสบความสำเร็จ เส้นชัยยังคงรอเราอยู่ที่เดิมเสมอ มันไม่เคยวิ่งหนีเราไปไหน มีเพียงแต่ความท้อแท้ ความขี้เกียจ และความกลัว เท่านั้นที่ทำให้เราไปไม่ถึงเส้นชัย

นิยามคำว่า "รัก" Love Story

      นิยามคำว่า "รัก" Love Story

       ในตอนนี้หลายๆคนคงจะกำลังค้นหาความรัก ว่าความรักของเรานั้นอยู่ที่ใดหนอ อายุจะขึ้นต้นเลขสาม แล้วยังหาไม่เจอสักที แต่หลายๆคนก็กำลังมุ่งมานะในการสร้างฐานะของตนให้ร่ำรวย เพื่อที่วันหนึ่งจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย หรือที่เรียกว่า "อิสรภาพทางการเงิน" (Financial Freedom)



       ไม่ว่าคุณจะกำลังค้นหาความรักหรือไม่ก็ตาม สิ่งสำคัญที่คุณจะต้องไม่ลืมนั่นก็คือ สิ่งที่ทำให้คุณได้มีชีวิต ได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้ ได้มาพบเห็นผู้คนมากมาย ซึ่งก็คือ พ่อกับแม่ของเรานั่นเอง เราควรจะตอบแทนบุณคุณของท่านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนที่จะทำอะไรก็ตามเพื่อแฟนของคุณ ลองใช้จินตนาการเปลี่ยนฐานะแฟนของคุณให้เป็นแค่เพื่อนหรือคนธรรมดาก่อน แล้วลองคิดว่า เรามีความจำเป็นอะไรถึงจะต้องทำสิ่งเหล่านั้นเพื่อคนๆนี้ ถ้าคำตอบของคุณคือ "ก็เราอยากใช้ชีวิตอยู่กับคนๆนี้ไปตลอดชีวิต" ผมบอกได้เลยว่ายังคิดน้อยเกินไป เพราะในอนาคตคุณจะต้องเลี้ยงดูแฟนของคุณให้ได้ (กรณีผู้ชาย) อีกทั้งคุณจะต้องรับอารมณ์ต่างๆของแฟนคุณ คุณจะต้องยอมรับการใช้ชีวิตปกติของแฟนคุณให้ได้ (มีเวลาน้อย มีเวลาให้มาก)

       ยอมรับเลยว่าในสมัยเด็กๆ (ประมาณ 12 ขวบ) ตัวผมก็เริ่มมีความคิดที่จะชอบเพื่อนผู้หญิงในชั้นเรียนแล้ว ซึ่งหลายคนคงจะมองว่าไวเกินไป แม้แต่ญาติพี่น้องหรือพ่อแม่ก็ไม่อยากให้เรามีแฟนในวัยเรียนกันทั้งนั้น ซึ่งนั่นก็เป็นความคิดที่ถูกต้อง เพราะในวัยเรียนหากเรามีแฟนขึ้นมา ตอนคบกันใหม่ๆเราอาจจะรู้สึกมั่นใจว่า "ในอนาคตเราจะไม่เลิกกันแน่นอน และเราก็จะไม่มีทางทะเลาะกัน" ซึ่งมันเป็นความคิดที่ปิดบังความจริงอยู่ เพราะเราไม่สามารถล่วงรู้อนาคตได้เลย พอคบกันไปนานๆมันจะต้องมีรู้สึกเบื่อกันบ้างอย่างแน่นอน ดังนั้นสิ่งสำคัญเมื่อเรามีแฟนก็คือ เราจะทำอย่างไรให้เราทั้งคู่รู้สึกเหมือนคบกันใหม่ๆ อยู่เสมอ

       มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ผมอยากจะแชร์มุมมองหนึ่งของผมในเรื่องความรัก หลายๆคนเมื่อได้เจอกับคนที่ชอบก็มักจะพยายามหาหนทางในการจีบ เพื่อให้ได้เธอผู้นั้นมาครอบครองให้เร็วที่สุด แต่กลับลืมคิดไปว่าความรักที่เกิดขึ้นได้เร็ว มันก็อาจจากไปเร็วเช่นกัน ลองนึกดูดีๆว่า ทำไมเขาถึงชอบเราเร็วขนาดนี้ ทั้งที่เราก็ตามจีบอยู่ไม่กี่วัน มันแสดงให้เห็นว่าคนที่เราจีบอยู่เป็นคนใจง่ายหรือเปล่า แล้วเขาจะทำแบบนี้กับคนอื่นหรือเปล่าเมื่อเขาเจอคนที่ดีกว่าเรา

       ดังนั้นเพื่อที่จะทำให้ความรักเป็นสิ่งที่ดูแล้วยิ่งใหญ่และมีค่าสำหรับเรา เราก็ควรจะแบ่งเวลาให้กันและกัน คนที่รู้จักกันใหม่ๆก็ควรเคารพอีกฝ่ายที่เขาเคยมีเวลาส่วนตัวตามปกติ คนที่รู้จักกันนานแล้วก็ค่อยๆพัฒนาความสัมพันธ์ไปพร้อมๆกัน

      หากเปรียบระยะทางเหมือนก้าวเดินของแต่ละฝ่าย


       ก้าวแรก คือ ก้าวแห่งการรู้จักกัน อาจจะเป็นแค่เพื่อน หรือคนรู้จักที่ได้คุยกัน ในก้าวนี้คงไม่ต้องคิดอะไรมากกว่าการที่ได้คุยกัน ทั้ง 2 ฝ่ายก็คงมีความสุขที่ได้พูดคุยกันแล้วล่ะ ซึ่งพอคุยกันไปนานๆเข้า ก็จะเกิดความเชื่อใจกันเอง ส่งต่อการพัฒนาไปยังก้าวที่สอง
       ก้าวที่สอง คือ ก้าวแห่งความสนิท เป็นการพัฒนามาจากก้าวแรก ก้าวนี้ทั้ง 2 ฝ่ายจะมีความเชื่อใจกันมากขึ้น ได้ไปเที่ยวหรือออกเดทด้วยกันบ่อยๆ แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินว่าเราทั้งคู่เป็นแฟนกัน แค่เป็นคนที่รู้ใจ ไปไหนด้วยกันได้อย่างมีความสุข
       ก้าวที่สาม คือ ก้าวแห่งการเปิดใจ เป็นก้าวทีมีความสำคัญที่ทั้งคู่จะเริ่มเปิดใจว่าแต่ละฝ่ายรู้สึกระหว่างกันอย่างไร หากสามารถพัฒนามาจนถึงก้าวที่สามได้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

       บางคนเห็นคนที่ตนเองชอบ ก็ข้ามไปก้าวที่สามเลย โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ได้เริ่มออกเดินสักก้าว สุดท้ายคนทีอยู่ก้าวที่สามก็ต้องรอต่อไป อีกทั้งยังเหมือนบีบคั้นให้อีกฝ่ายที่ยังไม่เริ่มก้าวเดินอึดอัด ลำบากใจซะอีก

       กว่าที่จะผ่านมาแต่ละก้าวได้ ใช่ว่าหนทางนั้นจะโรยด้วยกีบกุหลาบ ไหนจะต้องพบเจออุปสรรคต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็น บุคคลที่สาม ปัญหาชีวิตของแต่ละฝ่าย ความคิดเห็นจากครอบครัว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่จะพิสูจน์ว่าเราจะฟันฝ่ามันไปได้อย่างไร แต่ขอยืนยันเลยว่าถ้าทั้งสองฝ่ายมีความเชื่อใจกัน ต่อให้มีปัญหาอะไรก็สามารถผ่านไปได้ครับ

       อยากฝากไว้ว่าความรักให้วัยเรียนเป็นสิ่งที่ดีเช่นกันนะครับ ถ้าเรารู้จักควบคุมให้พอดี ลองให้ความรักทำให้เราอยากไปโรงเรียนทุกวัน เพราะอยากเจอหน้าคนที่เรารัก หรือคนที่เราแอบชอบ แบบนี้ก็เป็นความสุขเล็กๆเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ว่าเอาแต่แอบมองจนไม่เป็นอันเรียนเลยล่ะ เดี๋ยวจะเสียการเรียน ฮ่าๆๆ