Gag

วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เป็นเด็กต้องเคารพผู้ใหญ่เสมอไปหรือเปล่า ?

       
การไหว้ถือเป็นวัฒนธรรมอันโดดเด่นของประเทศไทย เวลาที่ฝรั่งมาประเทศไทยแล้วเห็นคนไทยไหว้ให้กันฝรั่งคงจะรู้สึกว่าเป็นวัฒนธรรมที่แปลก เพราะต่างชาติเขาทักทายด้วยวิธีการอื่น เช่น การจับมือ การเอาแก้มชนกัน เป็นตัน 

       แต่กระนั้นพ่อแม่ของเราก็ได้สั่งสอนให้รู้จักไหว้ผู้ใหญ่ทุกๆคนไม่ว่าเราจะรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม เพราะถือเป็นการแสดงออกถึงความมีมารยาทและกาลเทศะ ที่จะต้องเคารพผู้มีอายุสูงกว่า


       แต่บ้านเมืองของเราสมัยนี้ มีผู้ใหญ่หลายคนหรือหลายกลุ่มมีพฤติกรรมที่ไม่น่าเคารพ จนเด็กๆรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเคารพผู้ใหญ่ประเภทนี้ แต่สังคมก็กลับมีอคติว่า "ยังไงเขาก็อายุมากกว่าเรา ยังไงก็ต้องเคารพ" ซึ่งผมคิดว่าสังคมไทยควรจะเปลี่ยนความคิดเสียใหม่สักที


       ผมคิดว่าเด็กๆเขายินดีที่จะเคารพผู้ใหญ่ทุกๆคน แต่ถ้าวันใดเด็กรู้ว่าผู้ใหญ่คนนั้นไม่ควรค่าแก่การเคารพ ผมคิดว่าก็เป็นสิทธิของเด็ก และมันเป็นการที่เด็กจะได้รู้ตัวเองว่าจะไม่เอาเยี่ยงอย่างผู้ใหญ่คนนี้



       หากพูดถึงระบบในสังคมไทยที่บังคับให้เด็กต้องไหว้คนที่อายุมากกว่า ก็คงหนีไม่พ้นระบบ SOTUS ในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นระบบที่รุ่นพี่จะใช้อำนาจในการควบคุมหรือบังคับรุ่นน้องที่เข้ามาเรียนใหม่ๆ แต่ก็มักจะมีข่าวว่ารุ่นพี่ทำเกินกว่าเหตุจนเป็นผลกระทบถึงจิตใจและการดำเนินชีวิตของรุ่นน้อง ดังนั้นระบบในมหาวิทยาลัยแบบนี้ผมจึงไม่ค่อยเห็นด้วย แต่น่าจะเปลี่ยนระบบให้เป็น "พี่พบน้อง" เพื่อที่รุ่นพี่จะได้วางแนวทางการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยแก่รุ่นน้อง รุ่นน้องก็จะสามารถปรับตัวได้ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความเอาใจใส่ของรุ่นพี่ต่อรุ่นน้อง ในส่วนที่รุ่นน้องจะเคารพรุ่นพี่หรือไม่นั้น ก็ให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรุ่นน้องเองดีกว่า อย่าไปบังคับให้รุ่นน้องต้องไหว้คนนู้นคนนี้เลย เรียนจบไปก็ไม่ได้เจอกันอยู่ดี จริงมั๊ย ?

วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หนูโตขึ้นอยากเป็นอะไร ?

       พ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะถามลูกๆของเขาว่า โตขึ้นลูกฝันอยากเป็นอะไร ? ลูกก็คงใช้ความคิดสักพัก แล้วก็จะตอบอาชีพคล้ายๆกันว่า " อยากเป็นหมอ จะได้ช่วยรักษาคนไข้ " " อยากเป็นทหาร เพื่อที่จะปกป้องประเทศ " แต่หารู้ไม่ว่าเส้นทางการที่จะเป็นอาชีพนั้นๆได้ ต้องใช้ความพยายามเท่าไร ยิ่งอาชีพหมอ ที่ต้องเรียกว่ากินหนังสือแทนข้าว เด็กเหล่านั้นจะรู้หรือไม่ว่าเขาจะทำได้เพียงใด ? แล้วการเป็นทหารจะต้องผ่านการฝึกอันแสนทรหด เขาจะมีความอดทนเพียงพอหรือไม่

       สิ่งที่สังคมควรจะปรับเปลี่ยนในวันนี้คือ ควรถามกับเด็กๆว่า อนาคตลูกๆจะดูแลพ่อแม่อย่างไร ? คำถามนี้จะทำให้เด็กได้ใช้ความคิดมากขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่เด็กไม่ค่อยได้คิดว่าจะต้องทำในอนาคต เนื่องจากใช้ชีวิตโดยอาศัยเงินจากพ่อแม่อยู่เป็นประจำ คำถามแบบนี้ผมคิดว่าน่าจะดูดีกว่าการถามคำถามเดิมๆแล้วเด็กก็ตอบตามค่านิยมทางสังคมว่าอยากเป็นหมอ อยากเป็นทหาร ทั้งที่อาชีพในโลกนั้นมันก็ไม่ได้มีเพียง 2 อาชีพนี้เท่านั้น

       อย่างไรก็ตาม หากลูกยังไม่ได้คิดว่าอยากจะทำอะไร สิ่งที่สำคัญก็คือ พ่อแม่ควรจะสังเกตุว่าลูกของตนเองอยู่กับสิ่งใดได้นานๆ หรือลูกของตนชอบดูรายการทีวีเกี่ยวกับอะไร จากนั้นควรใช้เวลาพูดคุยกับลูกเป็นระยะๆ เพื่อที่เราจะสามารถค้นหาหนทางในการส่งเสริมให้ลูกได้เป็นในสิ่งที่เขาอยากเป็น

คนซื้อรถสปอร์ต = โง่ ?

       ผมเคยได้ยินคนพูดว่า " ไอพวกซื้อรถหรูๆอะโง่ทั้งนั้น แทนที่จะเก็บตังไว้ใช้ยามเจ็บไข้ " ซึ่งถ้าดูเผินๆก็เป็นเรื่องจริงที่คนเราควรมีการประกันความเสี่ยงในการดำเนินชีวิตไว้ เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะเป็นอะไรไป

       แต่สิ่งที่คนเหล่านั้นไม่รู้ คือ ในขณะที่คนรวยๆนั้นซื้อรถสปอร์ต คือ คนรวยๆคนนั้นอาจจะมีความมั่นคงทางชีวิตแล้วก็ได้ เขาอาจจะมีบ้านหลังใหญ่ที่มั่นคง มีเงินประกันสุขภาพ หรือประกันชีวิตพร้อมจ่ายให้ตนเอง พ่อแม่หรือญาติพี่น้องอยู่ตลอดเวลา หรืออาจเรียกได้ว่าคนเหล่านั้นมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว การที่เขาจะซื้อรถสปอร์ตก็คงไม่ใช่เรื่องโง่ ลองมองโลกในแง่ดีเขาอาจจะซื้อเพราะให้เป็นของขวัญแก่ตนเองที่พากเพียรสร้างฐานะจนร่ำรวยขึ้นมาได้ขนาดนี้ ฉะนั้นผมจึงคิดว่าการซื้อรถหรูนั้น อาจจะไม่ได้โง่เสมอไป

       แต่ถ้าคนที่ใฝ่ฝันอยากมีรถสปอร์ต พอเก็บเงินได้ก็ซื้อทันที โดยไม่ได้เตรียมเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉินเลย อันนี้ผมถือว่าโง่ เพราะคนเราควรจะมีการบริหารความเสี่ยงในชีวิตที่ดีก่อน จากนั้นค่อยทำตามความฝันก็ได้ แต่ก็เกิดคำถามขึ้นมาอีกว่า " พออายุเยอะขับรถสปอร์ตมันก็ได้ไม่เท่แล้วดิพี่ " อันนี้ก็แล้วแต่ชีวิตของคุณแล้วกันครับ

ซื้อบ้านก่อน VS ซื้อรถก่อน

ซื้อบ้านก่อน VS ซื้อรถก่อน

       คนทุกคนล้วนมีความฝันที่จะมีบ้านหลังใหญ่โต มีสนามหญ้าและสวนดอกไม้หน้าบ้าน อยากมีรถสปอร์ตขับอย่าง Lamboghini หรือ Ferrari แต่ก็จนปัญญาที่จะซื้อ แล้วเราจะทำอย่างไรดีที่ความฝันของเราจำเป็นจริงเสียที ? เราจะไปเป็นนายกฯ แล้วโกงกินดีกว่า อ๊ะคงไม่ดี (จะโดนลอบสังหารมั๊ย)

       ผมเคยถามถ้าพี่มีเงิน 10 ล้านน้องว่าจะซื้อบ้านหรือรถก่อนดี น้องก็ตอบมาว่า ก็ต้องซื้อบ้านก่อนดิ ไม่งั้นจะมีที่จอดรถได้ยังไง คำตอบของน้องอายุ 10 ขวบทำให้ผมอึ้งไปสักพัก แล้วก็กลับมาคิดว่ามันก็จริงแฮะ แต่ลองถามว่าผู้คนในปัจจุบันอยากได้อะไรมากกว่ากัน ก็คงจะตอบว่าอยากได้รถก่อน ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ เพราะไม่อยากไปใช้ขนส่งสาธารณะ มันไม่มีความส่วนตัว ไม่อยากต้องเบียดเสียดคนทำงานตอน 8.00น. ใน BTS หรือ MRT

       แต่เชื่อหรือไม่ว่าถ้าคุณไปซื้อรถด้วยความคิดที่ว่าอยากมีความส่วนตัว มันคงเป็นความคิดที่เอาแต่ใจเกินไปหน่อย คุณลองคำนวณค่าใช้จ่ายจากการใช้ขนส่งสาธารณะต่อวันกับใช้รถส่วนตัว คุณจะพบว่าการใช้รถส่วนตัวนั้นกินค่าใช้จ่ายของคนเรามากกว่ามาก แต่เพราะเราไม่ได้จ่ายในค่าใช้จ่ายเหล่านั้นทุกวัน เช่น ค่าน้ำมัน ค่าเสื่อมของรถ ค่าเปลี่ยนอะไหล่ มันจึงทำให้คนเราคิดว่าการใช้รถส่วนตัวนั้นประหยัดกว่า

       รถยนต์นั้นจะเสื่อมค่าลงทุกวัน โดยเฉลี่ยเราจะใช้รถได้อายุ 5-10 ปี แต่ถ้าเราซื้อบ้านก่อน จะพบว่าบ้านมีแต่ราคาจะเพิ่มขึ้นทุกวัน ด้วยการที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ประเภทหนึ่ง สาเหตุที่สำคัญที่ผมคิดว่ามันมีส่วนต่อราคาสินทรัพย์เหล่านี้ คือ การเจริญเติบโตของบ้านเมือง การขยายตัวของประชากร ยิ่งความเจริญแผ่ขยายมาจากเมืองใหญ่ๆ ราคาสินทรัพย์ทั้งในเมืองหรือตามชานเมืองก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ฉะนั้นการซื้อบ้านก่อนจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าแน่นอนครับ ซื้อบ้านในวันนี้ไม่แน่ว่าในอนาคต 20 ปีข้างหน้าราคาบ้านอาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเลยก็ได้ กลายเป็นได้รับประโยชน์ 2 เด้งจากการที่ได้อยู่อาศัยในบ้าน กับ ผลประโยชน์เมื่อเราขายบ้านก็ได้ผลตอบแทนเท่าตัว

     


     

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ทำยังไงถึงจะรวย VS ทำยังไงถึงจะไม่จน


       เมื่อเราลองค้นหาใน Google มักจะเจอผู้คนถามในกระทู้ต่างๆว่า "ทำยังไงถึงจะรวยครับ" "อยากรวยต้องทำธุรกิจใช่มั๊ยครับ" แต่เคยเห็นบ้างมั๊ยว่ามีใครเคยถามบ้างว่าทำยังไงถึงจะไม่จน คงจะหายากมากๆเลยสินะครับ สาเหตุก็เพราะคนที่ถามว่าทำยังไงถึงอยากรวย มักจะมองไปข้างหน้าว่าอนาคตเราจะต้องไปให้ถึงจุดๆนั้นให้ได้ เช่น อยากมีเงิน 100 ล้าน 1,000 ล้าน จึงต้องเสาะแสวงหาแนวทางหรือวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การลงทุนในหุ้น การสร้างธุรกิจ การหารายได้เสริม เป็นต้น เพื่อที่จะบรรลุความต้องการดังกล่าว แต่พอให้ทำเข้าจริงๆก็กลับบ่นว่า ขี้เกียจศึกษา ไม่ชอบทำอะไรเสี่ยงๆ สุดท้ายก็ทำได้แปปเดียวแล้วก็เลิกรากันไป

     
ผมอยากให้คุณลองเปลี่ยนความคิดมาที่ "ทำยังไงถึงจะไม่จน" ก็เพราะความคิดแบบนี้เป็นการมองไปข้างหลัง เพื่อให้เห็นว่าความจนกำลังไล่ตามเราอยู่ หลายคนคงจะสงสัยว่า แล้วจะเห็นเจ้าความจนนี้ไปเพื่ออะไร ? ผมก็จะตอบว่า เวลาที่คนเราอยู่ในภาวะวิกฤต หรือในภาวะที่ต้องเอาตัวรอด คนเราก็จะมีความพยายามอะไรบางอย่างที่ทำให้เราต้องค้นหาวิธีการที่ทำให้สามารถเอาตัวรอดไปให้ได้ มันจะเป็นตัวกระตุ้นให้เราเดินหน้าต่อไปด้วยความพยายามที่เรามีจนถึงที่สุด ในที่นี่ก็คือเจ้าความยากจนที่กำลังไล่ตามเราอยู่ เราจะต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อไม่ให้มันตามทัน เราหยุด 1 ก้าว มันก็จะขยับเข้าหาเราอีก 1 ก้าว



       หากจะเปรียบความยากจนเป็นอัตราเงินเฟ้อ ก็คงจะพอเปรียบเทียบได้ เพราะโลกทุกวันนี้นี้ต้องเผชิญกับข้าวของที่ราคาแพงขึ้น ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นปีละ 3% นั่นแปลว่าเงิน 100 บาทในวันนี้ หากไม่นำไปลงทุนหรือฝากธนาคาร ใน 1 ปีข้างหน้าเงิน 100 บาทจะเหลือเพียง 97 บาท ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? เพราะข้าวของเครื่องใช้ เมื่อเวลาผ่านไปราคาจะขยับเพิ่มขึ้นนั่นเอง เช่น ปกติเราซื้อข้าว 20 บาท/จาน ผ่านไปอีกปีราคาข้าวเพิ่มขึ้นเป็น 25 บาท/จาน ทำให้อำนาจซื้อในเงิน 100 บาทลดลง นั่นจึงแสดงให้เห็นว่าเราเริ่มจนลง เพราะความยากจนไล่ตามเราอยู่ตลอดเวลา

         เราลองมาเปรียบเทียบชีวิตของคนเรากับนิทานกระต่ายกับเต่าดูบ้าง เราคงเปรียบได้ว่าคนจนก็คือเต่า ส่วนคนรวยก็คือกระต่าย หากทั้งสองต้องมาวิ่งแข่งกัน แน่นอนว่ากระต่ายยังไงก็ชนะ เพราะกระต่ายมีทุนสูงกว่า เช่น ขายาวกว่า มีพละกำลังเยอะกว่า การจะก้าวเดินไปสู่เส้นชัยจึงง่ายกว่ามาก แล้วเต่าล่ะ การจะเดินไปในแต่ละครั้งเชื่องช้าจนไม่รู้ว่าเส้นชัยนั้นอยู่ที่ไหน แต่อย่าลืมว่าเส้นชัยมันก็ไม่ได้หนีเราไปไหน มันยังคงอยู่ที่เดิม หากวันนี้เต่าน้อยพยายามมากขึ้น ลองหาเส้นทางลัดที่จะสามารถไปสู่เส้นชัยได้เร็วขึ้น สักวันก็จะไปถึงเส้นชัยได้แน่นอน ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องไปเปรียบเทียบกับกระต่าย เพราะฐานะหรือทุนของเขาต่างกับเรามาก เราลองต่อสู้กับตัวเองและใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีนำพาเราสู่เส้นชัย

       สรุปก็คือ ผมอยากจะให้ทุกคนเปลี่ยนความคิดให้เราทำอะไรก็ได้ให้ไม่จน อย่าให้ความจนไล่ตามเราทัน เพราะการคิดที่เปรียบเสมือนมีสิ่งที่เลวร้ายไล่ตามเราอยู่ตลอดนั้น มันจะทำให้เรารู้สึกกลัวและไม่อยากพบเจอกับสิ่งเลวร้ายนั้น แล้วมันก็จะกระตุ้นให้เราทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอดจากมันนั่นเอง อย่าลืมนะครับว่า " ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที จงทำชีวิตของเราให้มีความสุขที่สุด " 

วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557

เอะอะ อะไรก็กินเหล้า ๆ !!

       
ก่อนจะเข้าสู่บทความผมขอให้คุณผู้อ่านได้อ่านข้อความดังต่อไปนี้ก่อนครับ

วัยรุ่นเมืองกรุงเก่าที่ก่อเหตุเมาแล้วขับรถยนต์พุ่งชนด่านตรวจ ต.บ้านเกาะ ได้รับความเสียหาย สำนึกผิดเข้าขอโทษผู้ว่าฯพระนครศรีอยุธยา รับปากจะไม่ทำพฤติกรรมเช่นนั้นอีก

" ปภ.สรุปตัวเลขอุบัติเหตุเซ่นสงกรานต์มรณะ 7 วันอันตรายตาย 322 ศพ บาดเจ็บ 3,225 คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุดได้แก่ เมาแล้วขับ "

         เป็นที่น่าสังเกตุว่า อุบัติเหตุต่างๆหรือเหตุการณ์ก่ออาชญากรรม ผู้ต้องหามักอ้างว่าตัวเองทำไปเพราะขาดสติ เนื่องจากเมาสุรา แต่การลงโทษของบ้านเมืองก็แค่จับห้องขังหรือปรับเพียงเท่านั้น แต่สาเหตุที่แท้จริงก็คือ สุรา ที่นำมาวางขายนั่นล่ะ

       คงไม่ต้องตอบเลยว่าถ้าเกิดมีคนที่คิดจะล้มเลิกการขายสุราภายในประเทศ เพราะประชาชนเกินกว่า 50% คงจะไม่พอใจเป็นแน่ ยิ่งผู้ผลิตรายใหญ่ในประเทศยิ่งต่อต้านอย่างแน่นอน

       ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพอเราโตขึ้นแล้วถึงต้องหาวิธีเข้าสังคมด้วยการดื่มเหล้าเบียร์ จะไม่มีวิธีการอื่นๆเลยหรือ ที่มันเป็นการเข้าสังคม เช่น การกินข้าวนอกบ้าน การออกไปเที่ยว เป็นต้น

พอไปถามว่าทำไมต้องกินเหล้า คนก็มักจะตอบว่า มันเป็นการเข้าสังคม
พอไปถามว่าทำไมต้องกินเหล้า คนก็มักจะตอบว่า กูอกหัก ขอกินเหล้าเพื่อย้อมใจ
พอไปถามว่าทำไมต้องกินเหล้า คนก็มักจะตอบว่า วันนี้โบนัสเงินเดือนออก เลยเลี้ยงเพื่อน
พอไปถามว่าทำไมต้องกินเหล้า คนก็มักจะตอบว่า โตแล้ว จะกินอะไรก็ได้

       ทั้งที่ผลสุดท้ายของการกินก็คือ เมา เท่านั้น แล้วยังไง มันทำให้ความรู้สึกเสียใจจากการอกหักหายไปมั๊ย สุดท้ายก็ต้องขับรถกลับบ้านแล้วก็ต้องมาเสี่ยงชีวิตอีก อย่าคิดแค่ตัวคนดื่มเองที่เสี่ยง ลองคิดถึงคนที่เดินข้างทางหรือคนขับรถคนอื่นๆด้วย ยกเว้นแต่คุณดื่มแล้วชนเกาะกลางถนนตายไปคนเดียวก็แล้วไป (พูดตรงๆ)

เลิกกินเหอะ สังคมไทยจะได้น่าอยู่ขึ้น

       ดังนั้นผมจึงอยากให้ผู้คนลดค่านิยมว่าโตแล้วกินเหล้าได้ ทั้งที่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไปกินน้ำอัดลมแทนกันไม่ได้หรือ จริงอยู่ว่ามันก็ไม่มีประโยชน์เหมือนกัน แต่มันก็ไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นๆ

วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557

เมื่อโลกต้องสูญสิ้น มนุษยชาติจะเอาตัวรอดอย่างไร ?

       เมื่อโลกต้องสูญสิ้น มนุษยชาติจะเอาตัวรอดอย่างไร ?

       เป็นคำถามที่น่าคิดว่าในอนาคตไม่ว่าจะอีกกี่แสนกี่ล้านปี โลกของเราก็จะต้องมีการดับสูญอย่างแน่นอน เพราะโลกของเราก็มีอายุขัยไม่ต่างกับมนุษย์ เราลองมาดูก่อนว่าอนาคตโลกของเราจะเป็นอย่างไร ? ซึ่งตามวงจรชีวิตของดาวนั้น โลกของเราเมื่อถึงวาระจะขยายตัวกลายเป็นดาวสีแดงขนาดยักษ์ แล้วก็จะดับสูญใน 2  รูปแบบ ได้แก่

1. Super Nova คือการระเบิดครั้งใหญ่ ซึ่งเมื่อระเบิดแล้ว ภายหลังจะเกิดแรงโน้มถ่วงมหาศาลดูดสิ่งต่างๆเข้ามาแม้กระทั่งแสง ซึ่งเรียกว่า หลุมดำ (ฺBlack Hole)

2. Nebura คือ สลายกลายเป็นฝุ่นจักรวาล ซึ่งจะสามารถรวมตัวกันเกิดเป็นดาวดวงใหม่ได้อีกครั้งหนึ่งแต่อาจจะต้องใช้เวลาเป็นล้านๆปี กว่าที่จะรวมตัวกันได้

       ในโลกปัจจุบันที่แต่ละประเทศให้ความสำคัญกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เพราะเศษฐกิจพัฒนา ก็จะทำให้รายได้ต่อหัวของประชากรสูงขึ้น หรือก็คือประเทศร่ำรวยขึ้นนั่นเอง ซึ่งคงไม่มีประเทศไหนมานั่งห่วงว่าสักวันโลกของเราจะเป็นอย่างไร

       ในเมื่อสักวันหนึ่งโลกใบสีฟ้าดวงนี้จะต้องดับไป ผมคิดว่าพระเจ้าผู้ซึ่งเห็นแก่นแท้ของชีวิตจึงประทานภูมิปัญญาและความรู้ให้แก่มนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนของบรรดาสรรพสิ่งต่างๆ ในการนำความรู้ความสามารถ และสติปัญญา ค้นหาหนทางในการที่จะเอาชีวิตรอดจากภัยที่จะมาถึง ซึ่งสำหรับผมคิดว่าหนึ่งในสาขาวิชาที่ตอบโจทย์ได้อย่างเต็มเปี่ยมก็คือ ด้านวิทยาศาสตร์

       ปัจจุบันแม้เทคโนโลยีของเรายังไม่สามารถการันตีได้ว่าการเดินทางออกนอกโลกจะมีความปลอดภัย 100% แต่การที่เราให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี ให้ทุนกับการวิจัยคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ สักวันการเดินทางออกนอกโลกก็คงดูจะเป็นเรื่องธรรมดาได้ เหมือนกับหนังเรื่อง Star Wars แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านั้นได้ทันก่อนที่โลกจะสูญสิ้นหรือปล่าว

       แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนเมื่อสักวันที่โลกสูญสิ้น คำตอบที่สามารถตอบได้ในเวลานี้ก็คือ ดาวดวงใหม่ ที่จะต้องมีคุณสมบัติคล้ายโลก แต่ใช่ว่าการหาดาวดวงนั้นจะหาได้ง่ายๆ และการเดินทางไปถึงก็คงต้องใช้เวลาหลายศตวรรษ ดังนั้นเราจึงต้องมีแหล่งพักพิงนอกโลกที่สร้างด้วยวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อที่จะมีเวลาเพิ่มขึ้นในการวิจัยและค้นหาวิธีการเดินทางสู่โลกใหม่ต่อไป

       หากใครเคยดูหนังเรื่อง Elysium คงจะเคยได้เห็นแหล่งพักพิงในอวกาศตามจินตนาการของผู้เขียนบทหนังได้ ซึ่งถือว่ามีความสวยงามและผมคิดว่าน่าจะเป็นต้นแบบที่ดีชิ้นหนึ่งที่เราควรจะนำไปสร้างจริงๆจังๆ

Elysium
แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงการที่จำทำให้เป็นแบบนั้นได้นั้น ยังจะต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้ก่อนว่า

       - เราจะปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นแหล่งอาหารแก่มนุษย์อย่างไร
       - เราจะหาแหล่งน้ำจากที่ไหน

       แต่เชื่อว่าในอนาคตมนุษย์คงจะสามารถคิดค้นเทคโนโลยีที่สามารถนำพาเราออกสู่นอกอวกาศได้ โดยใช้งบประมาณการสร้างยานน้อยลง เหมือนกับโทรศัพทืมือถือที่เมื่อเปิดตัวใหม่ๆมีราคาสูงมาก แต่เมื่อเทคโนโลยีถูกแพร่กระจายไปเรื่อยๆ สิ่งเหล่านั้นก็จะมีราคาถูกลง ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้ออกไปพบกับความรู้สึกใหม่ๆในห้วงอวกาศ รอคอยการค้นหาดาวดวงใหม่ต่อไป

วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557

พอสักทีกับตรรกะ "มีเงินแต่ไม่มีความสุข"

     
       ก่อนอื่นขอบอกว่าผมไม่ได้ไม่เห็นด้วยกับตรรกะนี้นะ เพียงแต่ผมมีความคิดเห็นว่า ตรรกะนี้ทำให้คนไม่อยากพัฒนาตนเองเพื่อที่ในอนาคตจะได้รับสิ่งดีๆหรือผลตอบแทนจากการทำงานให้มากขึ้น เพราะในเมื่อคนไม่เห็นความสำคัญของเงิน ในใจของคนๆนั้นจะรู้สึกว่าผลตอบแทนมันเพียงพอแล้วสำหรับเขา ชีวิตคงไม่ต้องการความสุขอะไรไปมากกว่านี้ ทั้งๆที่ในใจก็อยากมีชีวิตที่สุขสบาย ไม่ต้องมานั่งทำงานให้เหนื่อยทุกๆวัน ไม่ต้องทำ OT ไม่ต้องกังวลว่าวันไหนเจ้านายจะบ่นเรื่องงาน ดังนั้นจงเปลี่ยนความคิดซะเดี๋ยวนี้ อย่าให้ตรรกะที่ฟังเหมือนดูดีมาบดบังอิสรภาพของคุณ

       ผมมีความคิดอยู่หนึ่งอย่างที่ตรงกับหนังสือเล่มหนึ่ง คือ ผมอยากจะเปลี่ยนตรรกะดังกล่าวเป็น "เงินสามารถซื้อความสุขได้ แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง" (ในหนังสือ งานไม่ประจำทำเงินกว่า ของพี่บอยวิสูตร)
ลองคิดดูให้ดีว่าทุกวันนี้คุณทำงานเพื่ออะไร คงจะไม่มีใครตอบว่า ชอบการทำงาน ชอบเหนื่อยก็เลยทำ แต่ทุกคนทำงานเพื่อที่จะมีเงิน พอมีเงินก็จะนำไปซื้อข้าวที่เราอยากกิน ซื้อบ้านที่เราอยากอยู่ ซื้อรถที่เราอยากขับ ให้พ่อให้แม่ได้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และสิ่งสำคัญมากไปกว่าการซื้อสิ่งของเหล่านี้ก็คือการซื้อสุขภาพที่ดี

     ผมเชื่อว่าหลายๆครอบครัวคงจะปลูกฝังให้ลูกหลานเป็นคนดี อย่าเห็นเงินเป็นสิ่งสำคัญจนเกินไป แต่ผมอยากจะขอแย้งเพียงนิดนึงว่า เงินเป็นสิ่งอันดับแรกๆที่คุณควรจะต้องให้ความสำคัญ แต่เงินที่ได้มาต้องเป็นเงินที่สุจริตอย่างแท้จริง ไม่คดโกง ไม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมหรืออำนาจเพื่อเอาเปรียบคนอื่น จงอย่าไปกลัวว่าคนอื่นจะกล่าวหาว่าเราเป็นพวกหน้าเงิน เพราะเราทำอาชีพสุจริต ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่อย่างงั้นคนรวยๆก็ถูกหาว่าหน้าเงินไปหมดสิ

       คุณพอล ภัทรพลเคยเล่าเรื่องอิสรภาพทางการเงิน ในคลิบโปรโมตหนังสือ "เหนื่อยชั่วคราว สบายชั่วโคตร " อิสระภาพทางการเงินเปรียบเสมือนการทำการบ้าน ลองนึกย้อนไปในสมัยเราเรียนหนังสือ คุณครูมักจะให้การบ้านเรามาทำที่บ้าน ถ้าทำไม่เสร็จก็จะไม่ได้คะแนน ทีนี้ลองมาเปรียบกับชีวิตจริงถ้าเราไม่ทำการบ้านเรื่องเงิน เราก็จะไม่ได้มีชีวิตที่มีความสุขในวันข้างหน้า ดังนั้น จงรีบทำการบ้านให้เสร็จตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่คุณจะได้มีชีวิตที่สุขสบายในอนาคต



       ลองถามว่า ตั้งแต่เกิดมาจนคุณอายุ 40 คุณใช้ชีวิตโดยไม่เห็นความสำคัญของเงิน คุณใช้ชีวิตไปวันๆ สร้างความสุขขึ้นมาตราบเท่าที่เงินเรามี จนวันหนึ่งพ่อแม่ของคุณป่วยขึ้นมาและต้องเข้ารับการรักษาที่มีค่ารักษาพยาบาลแพงมากเป็นหลักแสนหลักล้าน คุณจะยังเห็นว่าเงินมีความสำคัญอยู่มั๊ย ถึงตอนนั้นแม้คุณจะสามารถหนทางแก้ไขปัญหาการเงินได้ เช่น ไปกู้ธนาคาร ไปยืมญาติพี่น้อง แต่มันก็กลับกลายเป็นสร้างภาระหนี้สินให้กับครอบครัว แล้วต่อจากนั้นคุณจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างไร

       อนาคตเป็นสิ่งที่เราคาดเดาไม่ได้ แต่ชีวิตของเราถ้าเรามีความพยามยามในวันนี้ สักวันหนึ่งมันก็จะต้องประสบความสำเร็จ เส้นชัยยังคงรอเราอยู่ที่เดิมเสมอ มันไม่เคยวิ่งหนีเราไปไหน มีเพียงแต่ความท้อแท้ ความขี้เกียจ และความกลัว เท่านั้นที่ทำให้เราไปไม่ถึงเส้นชัย

นิยามคำว่า "รัก" Love Story

      นิยามคำว่า "รัก" Love Story

       ในตอนนี้หลายๆคนคงจะกำลังค้นหาความรัก ว่าความรักของเรานั้นอยู่ที่ใดหนอ อายุจะขึ้นต้นเลขสาม แล้วยังหาไม่เจอสักที แต่หลายๆคนก็กำลังมุ่งมานะในการสร้างฐานะของตนให้ร่ำรวย เพื่อที่วันหนึ่งจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย หรือที่เรียกว่า "อิสรภาพทางการเงิน" (Financial Freedom)



       ไม่ว่าคุณจะกำลังค้นหาความรักหรือไม่ก็ตาม สิ่งสำคัญที่คุณจะต้องไม่ลืมนั่นก็คือ สิ่งที่ทำให้คุณได้มีชีวิต ได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้ ได้มาพบเห็นผู้คนมากมาย ซึ่งก็คือ พ่อกับแม่ของเรานั่นเอง เราควรจะตอบแทนบุณคุณของท่านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนที่จะทำอะไรก็ตามเพื่อแฟนของคุณ ลองใช้จินตนาการเปลี่ยนฐานะแฟนของคุณให้เป็นแค่เพื่อนหรือคนธรรมดาก่อน แล้วลองคิดว่า เรามีความจำเป็นอะไรถึงจะต้องทำสิ่งเหล่านั้นเพื่อคนๆนี้ ถ้าคำตอบของคุณคือ "ก็เราอยากใช้ชีวิตอยู่กับคนๆนี้ไปตลอดชีวิต" ผมบอกได้เลยว่ายังคิดน้อยเกินไป เพราะในอนาคตคุณจะต้องเลี้ยงดูแฟนของคุณให้ได้ (กรณีผู้ชาย) อีกทั้งคุณจะต้องรับอารมณ์ต่างๆของแฟนคุณ คุณจะต้องยอมรับการใช้ชีวิตปกติของแฟนคุณให้ได้ (มีเวลาน้อย มีเวลาให้มาก)

       ยอมรับเลยว่าในสมัยเด็กๆ (ประมาณ 12 ขวบ) ตัวผมก็เริ่มมีความคิดที่จะชอบเพื่อนผู้หญิงในชั้นเรียนแล้ว ซึ่งหลายคนคงจะมองว่าไวเกินไป แม้แต่ญาติพี่น้องหรือพ่อแม่ก็ไม่อยากให้เรามีแฟนในวัยเรียนกันทั้งนั้น ซึ่งนั่นก็เป็นความคิดที่ถูกต้อง เพราะในวัยเรียนหากเรามีแฟนขึ้นมา ตอนคบกันใหม่ๆเราอาจจะรู้สึกมั่นใจว่า "ในอนาคตเราจะไม่เลิกกันแน่นอน และเราก็จะไม่มีทางทะเลาะกัน" ซึ่งมันเป็นความคิดที่ปิดบังความจริงอยู่ เพราะเราไม่สามารถล่วงรู้อนาคตได้เลย พอคบกันไปนานๆมันจะต้องมีรู้สึกเบื่อกันบ้างอย่างแน่นอน ดังนั้นสิ่งสำคัญเมื่อเรามีแฟนก็คือ เราจะทำอย่างไรให้เราทั้งคู่รู้สึกเหมือนคบกันใหม่ๆ อยู่เสมอ

       มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ผมอยากจะแชร์มุมมองหนึ่งของผมในเรื่องความรัก หลายๆคนเมื่อได้เจอกับคนที่ชอบก็มักจะพยายามหาหนทางในการจีบ เพื่อให้ได้เธอผู้นั้นมาครอบครองให้เร็วที่สุด แต่กลับลืมคิดไปว่าความรักที่เกิดขึ้นได้เร็ว มันก็อาจจากไปเร็วเช่นกัน ลองนึกดูดีๆว่า ทำไมเขาถึงชอบเราเร็วขนาดนี้ ทั้งที่เราก็ตามจีบอยู่ไม่กี่วัน มันแสดงให้เห็นว่าคนที่เราจีบอยู่เป็นคนใจง่ายหรือเปล่า แล้วเขาจะทำแบบนี้กับคนอื่นหรือเปล่าเมื่อเขาเจอคนที่ดีกว่าเรา

       ดังนั้นเพื่อที่จะทำให้ความรักเป็นสิ่งที่ดูแล้วยิ่งใหญ่และมีค่าสำหรับเรา เราก็ควรจะแบ่งเวลาให้กันและกัน คนที่รู้จักกันใหม่ๆก็ควรเคารพอีกฝ่ายที่เขาเคยมีเวลาส่วนตัวตามปกติ คนที่รู้จักกันนานแล้วก็ค่อยๆพัฒนาความสัมพันธ์ไปพร้อมๆกัน

      หากเปรียบระยะทางเหมือนก้าวเดินของแต่ละฝ่าย


       ก้าวแรก คือ ก้าวแห่งการรู้จักกัน อาจจะเป็นแค่เพื่อน หรือคนรู้จักที่ได้คุยกัน ในก้าวนี้คงไม่ต้องคิดอะไรมากกว่าการที่ได้คุยกัน ทั้ง 2 ฝ่ายก็คงมีความสุขที่ได้พูดคุยกันแล้วล่ะ ซึ่งพอคุยกันไปนานๆเข้า ก็จะเกิดความเชื่อใจกันเอง ส่งต่อการพัฒนาไปยังก้าวที่สอง
       ก้าวที่สอง คือ ก้าวแห่งความสนิท เป็นการพัฒนามาจากก้าวแรก ก้าวนี้ทั้ง 2 ฝ่ายจะมีความเชื่อใจกันมากขึ้น ได้ไปเที่ยวหรือออกเดทด้วยกันบ่อยๆ แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินว่าเราทั้งคู่เป็นแฟนกัน แค่เป็นคนที่รู้ใจ ไปไหนด้วยกันได้อย่างมีความสุข
       ก้าวที่สาม คือ ก้าวแห่งการเปิดใจ เป็นก้าวทีมีความสำคัญที่ทั้งคู่จะเริ่มเปิดใจว่าแต่ละฝ่ายรู้สึกระหว่างกันอย่างไร หากสามารถพัฒนามาจนถึงก้าวที่สามได้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

       บางคนเห็นคนที่ตนเองชอบ ก็ข้ามไปก้าวที่สามเลย โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ได้เริ่มออกเดินสักก้าว สุดท้ายคนทีอยู่ก้าวที่สามก็ต้องรอต่อไป อีกทั้งยังเหมือนบีบคั้นให้อีกฝ่ายที่ยังไม่เริ่มก้าวเดินอึดอัด ลำบากใจซะอีก

       กว่าที่จะผ่านมาแต่ละก้าวได้ ใช่ว่าหนทางนั้นจะโรยด้วยกีบกุหลาบ ไหนจะต้องพบเจออุปสรรคต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็น บุคคลที่สาม ปัญหาชีวิตของแต่ละฝ่าย ความคิดเห็นจากครอบครัว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่จะพิสูจน์ว่าเราจะฟันฝ่ามันไปได้อย่างไร แต่ขอยืนยันเลยว่าถ้าทั้งสองฝ่ายมีความเชื่อใจกัน ต่อให้มีปัญหาอะไรก็สามารถผ่านไปได้ครับ

       อยากฝากไว้ว่าความรักให้วัยเรียนเป็นสิ่งที่ดีเช่นกันนะครับ ถ้าเรารู้จักควบคุมให้พอดี ลองให้ความรักทำให้เราอยากไปโรงเรียนทุกวัน เพราะอยากเจอหน้าคนที่เรารัก หรือคนที่เราแอบชอบ แบบนี้ก็เป็นความสุขเล็กๆเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ว่าเอาแต่แอบมองจนไม่เป็นอันเรียนเลยล่ะ เดี๋ยวจะเสียการเรียน ฮ่าๆๆ