Gag

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

พ่อกับแม่เข้าใจผิดจริงหรือ ?

   เนื่องจากได้อ่านบทความอันหนึ่งจึงรู้สึกอารมณ์ขึ้นมาทันที ไม่ใช่เพราะบทความนี้มีคำหยาบ แต่เพราะแนวคิดมันไม่ใช่ ! แม้เนื้อหามันจะอ่านแล้วดูดี จนโลกโซเชียลแชร์กันสนั่น แหม่มันโดนใจ มันจริง มันใช่เลยชีวิตกรู ในส่วนนี้ผมขอแทรกความคิดเห็นในแต่ละส่วนไปเลยนะครับ

-------------------------------------

พ่อกับแม่เข้าใจผิด!!!

พ่อแม่บอกให้ตั้งใจเรียน
จะได้จบมาทำงานดีๆ บอกให้ขยันๆทำงานมากๆจะได้มีเงินเดือนสูงๆ

- พ่อกับแม่ไม่ได้เข้าใจผิด แต่การที่ให้ตั้งใจเรียนก็เพราะว่าจะได้มีวิชาความรู้ติดตัวไป ในโลกของการทำงานคนที่มีความรู้ก็จะได้เงินเดือนสูงๆ คนขยันก็จะได้เงินเดือนสูง เช่นกัน ดังนั้นพ่อกับแม่เข้าใจผิดตรงไหน ?

ไปโรงเรียนครูก็บอกเราแบบเดียวกับพ่อแม่เลย!!

3 ปีเรียนอนุบาล
6 ปีเรียนประถม
6 ปีเรียนมัธยม
4 ปีเรียนมหาวิทยาลัย

19 ปีเรียนมาเกือบตาย
หมดเงินไปไม่รู้เท่าไร จบมาแม่งเป็นขี้ข้าห้องแอร์เงินเดือน 15,000!!

- คุณครูก็ต้องมองเหมือนพ่อแม่ ที่ต้องการให้ลูกศิษย์ได้ดี เพื่อที่ในอนาคตจะได้ทำงานที่ดี ไม่ต้องเสี่ยงกับความไม่แน่นอน
- 19 ปีเรียนมาเกือบตาย นี่เรียนยังไงหรือครับ ถ้าแค่เรียนยังเกือบตาย แล้วในอนาคตจะทำงานไหวมั๊ย ?
- จบมาเป็นขี้ข้าเงินเดือน 15,000 ผมว่าอย่าใช้คำว่าขี้ข้าเลยครับ ให้ใช้คำว่าลูกจ้างดีกว่า แล้วผมคิดว่าถ้าจบมาแล้วได้เงินเดือน 15,000 มันก็ไม่น้อยเลยนะครับ

เจ้านายแม่งก็หน้าหม้อ
เพื่อนร่วมงานแม่งก็ขี้อิจฉา
ไหนจะลูกค้างี่เง่า!!

- ถ้าคุณตั้งใจเรียนตั้งแต่แรกและมีความสามารถในการทำงานสูง ผมว่าคุณจะไม่เจอสังคมการทำงานแบบนี้นะครับ

ทนๆๆๆๆ
ทนมา3ปี กะจะหาที่ทำงานใหม่
พอได้อ้าววววชิบหาย!!
ที่ใหม่แม่งก็ไม่ต่างจากที่เก่า
เราแค่เปลี่ยนที่ทุกข์!!

- ดูเหมือนว่ากำลังมีปัญหากับที่ทำงานเลยมาเขียนบทความนี้เลยนะ เห็นเน้นว่าทนๆมา 3 ปี เนี่ย แต่จะว่าไปเวลา 3 ปี ถ้าคุณไม่มีความสุขกับที่ทำงาน ทำไมไม่พัฒนาตัวเองขึ้นมาบ้างล่ะ เวลา 3 ปีมีโอกาสพัฒนาได้หลายเรื่องเลย เพื่อไปสู่งานที่ดีกว่า สังคมการทำงานที่ดีกว่า

ตื่นมาแทนที่จะได้กินกาแฟอ่านหนังสือที่ชอบก่อน
ต้องรีบร้อนวิ่งไปหาเครื่องตอกบัตร!!

- ในส่วนนี้ผมว่าคุณบริหารเวลาไม่ดีเองครับ อยากกินกาแฟอยากอ่านหนังสือที่ชอบก่อน ก็ตื่นให้เช้าขึ้นสิครับ อ่านเสร็จก็ขับรถไปทำงานชิลๆ ถึงที่ทำงานแต่เช้าจะได้เตรียมตัวทำงานอย่างเต็มที่

เที่ยง
อยากแดกร้านโปรดแม่งก็ไกล
ทำได้แค่กินข้าวแกงข้างอ็อฟฟิตเพราะกลัวกลับเข้างานไม่ทันเวลา!

- แล้วทำไมไม่กินตอนวันหยุดล่ะครับ (งานไม่มีวันหยุดเลยหรอ) พอมาทำงานก็กินข้าวแกงบ้างไม่เห็นจะเป็นอะไร ได้ประหยัดเงินบ้าง กินเยอะไปเดี๋ยวจะง่วงเอานะครับ


อยากออกจากงานวันละ3เวลาหลังอาหารก็ทำไม่ได้เพราะ...
เสือกผ่อนรถ ไหนจะค่าบัตรเครดิตอีก2-3ใบ
ลาออกไปมีหวังกลับไปนั่งรถเมลล์เหมือนเดิม!!

- ในส่วนนี้คุณสร้างหนี้เกินตัวเองครับ คนที่มีความคิดในการบริหารเงินเขาไม่มานั่งบ่นกับสิ่งที่เขาต้องจ่ายในแต่ละเดือน เขารู้ว่าต้องจ่ายเขาก็จะต้องกันเงินไว้จ่ายอยู่แล้ว จะบ่นทำไม แล้วถึงแม้ลาออกไปนั่งรถเมล์ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ประหยัดด้วย อย่าหัวสูงไปหน่อยเลย

ชีวิตค่อยๆเดินลงทะเล ทีละก้าว
ผ่านไป 10 ปี มีลูกยิ่งต้องระวัง
ตกงานมาไม่ใช่เราคนเดียวที่อดตาย ไปทำงานด้วยความจำยอม
เจ้านายจะโขกสับยังไงก็ต้องทน

แต่ก็แปลกอีกนะ....
เราเจอแบบนี้มา เราก็ดันไป สอนลูกเราต่ออีกว่า "ตั้งใจเรียนนะโตขึ้นจะได้ทำงานดีๆ"

- ก็ตัวเองไม่ตั้งใจเรียนให้ดี จึงได้ที่ทำงานที่ไม่ดี แล้วจะไปสอนลูกให้ไม่ตั้งใจเรียนงั้นหรอ มันก็ไม่ถูกปะวะ ต่อให้วันนี้คุณได้ทำงานที่ดีจริง แต่บรรยากาศทำงานมันไม่ใช่ คุณก็ย้ายที่ทำงานสิครับ จะทนแล้วบ่นทำไม

สุดท้ายพอเราตายห่าไป
เราไม่ได้ทิ้งอะไรใว้ให้ลูกเลย
แต่เราทิ้งลูกจ้างใว้ให้โลกไว้ทำงาน
ให้บริษัทคนอื่นให้คนอื่นรวย
นั้นคือ ลูกเรา นั้นเอง!!

- ถ้าจะรังเกียจการเป็นลูกจ้างมาก ให้คุณไปทำประกันชีวิตนะครับ แล้วก็ตายห่าไปอยากปากว่า ลูกคุณจะได้มีทุนประกันไว้ใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตครับ จะได้ไม่ต้องเป็นลูกจ้างไง แถมได้ทุนไปทำธุรกิจด้วย

คิดง่ายๆนะ
อาเฮียร้านจักยาน ตายห่าไป เขาทิ้งกิจการร้านจักรยานใว้ให้ลูก
ลูกรุ่นต่อไปเป็น...เถ้าแก่

ลุงดำ ทำงาน ร้านจักรยานของอาเฮีย ลุงดำตายห่าไป ลุงดำจะมีอะไรทิ้งใว้ให้ลูก?

- ไม่มีอะไรคอนเฟิร์มว่าลูกอาเฮียจะต้องเป็นเถ้าแก่ ถ้าลูกไม่มีความรู้กิจการมันก็ไม่รอดเหมือนกัน
- ลุงดำทิ้งผลงานจากอาชีพของเขาไว้กับกิจการของอาเฮีย และทิ้งความเป็นพ่อที่ต้องทำงานหาเงินให้ลูกได้ซึมซับถึงความพยายาม

คนจะรวยคนจะจน
มันไม่ได้ต่างกันที่จำนวนเงิน
มันต่างกันที่วิธีคิด!!

คุณอยากเห็นตัวเองตอนอายุ 60 เป็นยังไงมันขึ้นอยู่กับการคิดการทำในวันนี้

เลิกทำให้คนอื่นรวย
มาทำให้ตัวเองรวย

- แล้วการเป็นลูกจ้างมันไม่ทำให้ตัวเรารวยตรงไหนครับ เราทำงานให้เขารวย ถ้าเราตั้งใจทำงานเราก็รวยด้วยมันก็ Win Win ไม่ใช่หรือ

แล้วก็อย่าเสือกมาโชว์โง่
ด้วยการบอกว่า ค้าขายไม่เป็น
ทำธุรกิจไม่เป็น ออกมาจากท้องแม่มึงเอาไม่เป็นทำไมตอนนี้มึงเอาเป็นทุกท่า???

- ส่วนนี้ต้องการสื่ออะไรครับ ไม่เข้าใจ ?

เรียนรู้ ศึกษา สิครับ
เริ่มจากสิ่งที่ตัวเองชอบอยากทำ
ทำแล้วมีความสุข

- อ่าวตอนนี้จะให้ศึกษา ตอนแรกบอกพ่อแม่เข้าใจผิด ที่จะให้ลูกตั้งใจเรียน ตกลงเอาไงกันแน่ หรือคำว่าศึกษากับตั้งใจเรียนมันแยกกัน งงครับ

แรกๆอาจจะเจ๊ง
เจ๊งก็ช่างมันยิ่งเจ๊งยิ่งเก่ง
เหมือนหัดขี่จักรยานนั้นแหละ
ต้องมีล้มบ้าง

- ถ้าไม่มีทุนพ่อแม่ คุณเอาเงินที่ไหนสร้างกิจการล่ะครับ และจากตอนแรกที่บอกว่าพ่อแม่เข้าใจผิดที่ให้ลูกตั้งใจเรียน  แล้ววันหนึ่งที่ตั้งธุรกิจคุณเอาความรู้ที่ไหนมาทำธุรกิจล่ะครับ ทำมั่วๆเจ๊ง ทำมั่วๆเจ๊ง เจ๊งแล้วเจ๊งอีก เงินทุนหมด ไปต่อไม่ได้ ชีวิตจบ

เลือกเอา
จะล้มตอนนี้ตอนที่ยังมีแรงลุกได้เร็วหรือล้มตอนอายุ 60 ล้มมานี่ตายห่าเลยนะ???

- จะเป็นมนุษย์เงินเดือน (หรือขี้ข้าในความคิดของเจ้าของบทความ) ที่สร้างฐานะที่ละนิด ศึกษาความรู้จากงานที่ทำทีละหน่อย รู้จักบริหารจัดการเงินที่ได้แต่ละเดือน ตอนอายุ 60 ก็คงมีเงินเก็บพอที่จะใช้จ่ายจวบจนวาระสุดท้าย
- หรือจะเสี่ยงเปิดธุรกิจโดยไม่มีความรู้ ให้ความล้มเหลวสอนเราไปเรื่อยๆ สุดท้ายเงินหมด ตายห่าตอนอายุยังไม่ถึง 60

เลือกเอา


วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

First Impression กับที่ทำงาน

   ในเช้าวันหนึ่งหลังจากทีออยได้เรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองกรุง ซึ่งยังไม่เคยผ่านการทำงานที่ใดมาก่อน ได้ผ่านการสัมภาษณ์งานจากบริษัทที่ตนเองใฝ่ฝันอยากทำมากที่สุด และจะได้เข้าทำงานในเดือนหน้า

   ออยมุ่งมั่นเพื่อที่จะเป็นพนักงานที่ดี เพื่อที่จะได้อัพเงินเดือนขึ้นไปสูงๆ โดยออยได้ตั้งเป้าว่าก่อนอายุ 30 อยากจะมีเงินเดือนประมาณ 30,000 บาท/เดือน โดยปัจจุบันออยเริ่มทำงานเงินเดือน Start 15,000 บาท


   เช้าทำงานวันแรกช่างดูสดใสและน่าตื่นเต้น ออยเดินทางไปถึงที่ทำงานแต่เช้า เพราะยังไม่รู้ว่าลักษณะการทำงานเป็นอย่างไร การไปถึงไวไว้ก่อนคงจะเป็นการดี เพื่อแสดงให้ทุกคนรู้ว่าเราพร้อมที่จะทำงานจริงๆ หลังจากทุกคนในที่ทำงานมากันพร้อมหน้า หัวหน้าก็เรียกออยเข้าไปคุยในห้องทำงาน และพาออยไปทำความรู้จักกับพี่ที่ทำงาน ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างเป็นกันเอง

   เข้าสู่ช่วงเวลาการทำงาน ทุกคนขมักเขม้นกับการทำงานกันหมดทุกคน ยกเว้นออยเพียงคนเดียว ด้วยความที่รู้สึกว่าตนเองนั้นไม่มีอะไรทำ จึงไปถามพี่ๆว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่ แต่ทุกคนก็บอกไม่ว่าง ลองไปถามคนนู้นคนนี้ดู แม้ออยจะเขินอย่างมากแต่ก็พยายามเดินไปถามจนครบทุกคน ก็ไม่มีงานให้ออยทำเลย จนกระทั่งช่วงเกือบเที่ยง พี่ที่ทำงานคนหนึ่งซึ่ดูมีความรู้เข้ามาและบอกว่าช่วยทำงานนี้ให้หน่อย ด้วยความที่อยากช่วย ออยจึงตอบตกลงทันที ส่วนพี่คนนั้นก็เดินกลับไปที่โต๊ะเหมือนเดิม

   ออยได้มีงานทำแล้ว แต่ !! งานที่ได้มาไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงถึงจะถูกต้อง แม้จะรู้วิธีการทำจากพี่ที่ทำงานแล้ว แต่ออยก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เอกสารต่างๆยิ่งดูแล้วยิ่งงง ออยเริ่มกังวลว่าจะทำไม่ได้ จึงลองชะเง้อมองพี่คนนั้น ว่าเขาว่างพอที่จะให้ไปถามได้หรือไม่ เมื่อออยเห็นว่าพี่คนนั้นพอจะว่างอยู่ จึงรีบเดินเข้าไปถามทันที

ออย : พี่คะ ไม่ทราบว่าเอกสารนี้ต้องกรอกหมดทุกส่วนเลยหรือเปล่า

พี่ที่ทำงาน : เอ้า ! ก็ต้องกรอกหมดทุกส่วนสิ จะเว้นไว้ทำไม

ออย : เอ่อ ขอโทษค่ะ แต่หนูไม่ทราบว่าตรงส่วนนี้จะดูจากเอกสารไหนถึงจะนำมาใส่ได้น่ะค่ะ

พี่ที่ทำงาน : นี่เรียนมาหรือเปล่าเนี่ย เรื่องแค่นี้ทำไมทำไม่ได้ ถ้าไม่รู้ก็ลองไปถามพี่คนอื่นดูนะ พี่ขอตัวทำงานก่อน

ออยรู้สึกกดดันเพราะถูกว่าเสียงดัง พร้อมกลับตอบไปว่า "อ่อได้ค่ะ"

   ออยรู้สึกผิดอย่างมาก และรู้สึกว่าตนเองเป็นจุดด้อยของสังคมที่ทำงาน ออยกลับมาที่โต๊ะทำงานพร้อมกลับดูเอกสารเหมือนเดิม ซึ่งก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ออยพยายามมองหาคนที่ว่างอยู่ทุกคนกลับตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันหมดทุกคน ออยจึงไม่กล้าเดินเข้าไปถาม เพราะกลัวจะโดนว่ากลับมาอีก

   ออยพยายามดูเอกสารแล้วกรอกในส่วนที่ตนพอจะเข้าใจ ผ่านไปสักพัก หัวหน้างานเดินมาทักทายแล้วถามกับออยว่า "ทำงานเป็นอย่งไรบ้าง งานยากไหม"

ออย : ก็พอได้ค่ะ แต่หนูยังไม่ค่อยเข้าใจว่าส่วนนี้ต้องกรอกยังไงคะ ?

หัวหน้า : เอ้า ! แล้วทำไมไม่ถามพี่ๆคนอื่นล่ะ ถามพี่ๆเค้าได้เลย เวลาเราไม่รู้อะไร

ออย : อ่อได้ค่ะ หัวหน้า ขอบคุณค่ะ

   หัวหน้าเดินออกไปหาลูกค้า ส่วนออยยิ่งเครียดขึ้นไปกว่าเดิม สิ่งที่ออยคิดในตอนนี้คือ

- ไม่สอนงานเราเลย แล้วจะทำงานนี้ได้ยังไงล่ะเนี่ย
-  จะไปถามคนอื่น ก็กลัวคนอื่นว่าอีก จะไม่ถามก็โดนหัวหน้าว่าทำไมไม่ถาม โอย นี่มันอะไรกัน !!
ทำไมการทำงานมันยากลำบากแบบนี้

   ออยเริ่มหัวเสียและเครียดมากขึ้น จนเริ่มคิดว่าตนเองคงจะไม่เหมาะกับงานนี้ เมื่อไรวันนี้มันจะจบเสียที ต่อให้วันนี้จบไป พรุ่งนี้เราก็อาจจะต้องมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้อีก ไม่เอาแล้วได้ไหม ไม่อยากทำงานแบบนี้แล้ว ต่อจะให้เป็นบริษัทในฝันก็เถอะ แต่บรรยากาศที่ทำงานมันไม่ได้ เราก็คงอยู่ไม่ได้เหมือนกัน

   -------------------------------------------------------------------------------------------------------

   คุณผู้อ่านคงจะได้อ่านกันจบแล้ว หลายคนคงจะรู้สึกสงสารออย ที่ไม่มีใครใส่ใจเลย มันคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับใครหลายๆคน ทุกๆคนย่อมกังวลในวันเริ่มงานวันแรก ไม่รู้เราจะทำงานนี้ได้หรือเปล่า มาทำงานก็ไม่รู้จักใครเลยสักคนหนึ่ง ฉันตัวคนเดียวจะเอาตัวรอดได้ไหม แต่สิ่งที่จะทำให้เด็กจบใหม่หรือผู้ที่เริ่มทำงานวันแรกรู้สึกประทับใจมากที่สุด มันคือ "First Impression"

   คนทำงานมาหลายๆปีมักจะไม่ค่อยเข้าใจ และก็จะออกเหตุผลว่า "ถ้าทำไม่ได้ ก็ออกไป มาทำวันแรกยังทำไม่ได้ วันอื่นก็ทำไม่ได้หรอก" เพราะอะไรน่ะหรือ ? เพราะเขาไม่รู้จักตัวตนของเด็กจบใหม่ว่าเขาคิดอย่างไร พอตัวเองผ่านจุดนั้นมาได้ ก็ไม่สนแล้วว่ารุ่นเด็กกว่าเราลงไปจะรู้สึกอย่างไร ผมจึงอยากให้หลายๆคนให้ความสำคัญกับ First Impression กับน้องเข้างานคนใหม่ เพื่อทีจะทำให้น้องๆมีกำลังใจในการทำงาน

   บรรยากาศการทำงานที่ดีเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในหน้าที่การงาน คงจะไม่มีใครหรอกที่จะทำงานที่มีแต่เพื่อนร่วมงานเกลียด สักวันก็คงต้องออกจากจุดนั้นอยู่ดี



    งานอะไรที่รุ่นน้องทำผิดพลาด ให้รู้จักให้อภัย อย่าถือเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ว่าง่ายแบบนี้ทำไมทำไม่ได้ เพราะคุณผ่านการทำงานนั้นมาไม่รู้เท่าไร มันก็ต้องง่ายสิ แต่กับเด็กจบใหม่ มันคือสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ถ้าเราไม่เป็นวิทยาทานที่ดีให้กับเขาได้ แล้วเขาจะพึ่งใครล่ะ ที่สำคัญคือ ห้ามพูดกับรุ่นน้องว่า "ไปทำมาใหม่" มันไม้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยครับ จริงอยู่ว่าคุณไม่พอใจที่รุ่นน้องทำงานได้ไม่ดีพอ แต่รุ่นน้องที่ได้ยินคำนี้ไป เขาจะรู้สึกอย่างไร เหมือนกับที่คุณเจอหัวหน้าบอกให้ไปทำงานมาใหม่ คุณจะรู้สึกอย่างไร ใจเขาใจเรานะครับ เราอาจจะใช้คำพูดติดตลกอย่างเช่นว่า "เห้ย ! ผิดแล้วๆ 555 มาๆเดี๋ยวสอนให้ ขอทำงานนี้ให้เสร็จแปปนะ" ลองคิดดูว่าคนฟังเขาจะรู้สึกอย่างไรครับ ขนาดทำงานผิดพลาดยังรู้สึกดีเลย เห็นมั๊ย ?

ผมเคยทำงานผิดพลาดในที่ทำงาน จนพี่ที่ทำงานอุทานออกมาว่าไอเห... หากที่คุณผู้อ่านยังเจอไม่หนักกว่านี้ ขอให้ท่านอดทน และสู้ๆนะครับ ทุกวันนี้ผมก็ยังสู้ต่อไป ...




วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เป็นเด็กต้องเคารพผู้ใหญ่เสมอไปหรือเปล่า ?

       
การไหว้ถือเป็นวัฒนธรรมอันโดดเด่นของประเทศไทย เวลาที่ฝรั่งมาประเทศไทยแล้วเห็นคนไทยไหว้ให้กันฝรั่งคงจะรู้สึกว่าเป็นวัฒนธรรมที่แปลก เพราะต่างชาติเขาทักทายด้วยวิธีการอื่น เช่น การจับมือ การเอาแก้มชนกัน เป็นตัน 

       แต่กระนั้นพ่อแม่ของเราก็ได้สั่งสอนให้รู้จักไหว้ผู้ใหญ่ทุกๆคนไม่ว่าเราจะรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม เพราะถือเป็นการแสดงออกถึงความมีมารยาทและกาลเทศะ ที่จะต้องเคารพผู้มีอายุสูงกว่า


       แต่บ้านเมืองของเราสมัยนี้ มีผู้ใหญ่หลายคนหรือหลายกลุ่มมีพฤติกรรมที่ไม่น่าเคารพ จนเด็กๆรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเคารพผู้ใหญ่ประเภทนี้ แต่สังคมก็กลับมีอคติว่า "ยังไงเขาก็อายุมากกว่าเรา ยังไงก็ต้องเคารพ" ซึ่งผมคิดว่าสังคมไทยควรจะเปลี่ยนความคิดเสียใหม่สักที


       ผมคิดว่าเด็กๆเขายินดีที่จะเคารพผู้ใหญ่ทุกๆคน แต่ถ้าวันใดเด็กรู้ว่าผู้ใหญ่คนนั้นไม่ควรค่าแก่การเคารพ ผมคิดว่าก็เป็นสิทธิของเด็ก และมันเป็นการที่เด็กจะได้รู้ตัวเองว่าจะไม่เอาเยี่ยงอย่างผู้ใหญ่คนนี้



       หากพูดถึงระบบในสังคมไทยที่บังคับให้เด็กต้องไหว้คนที่อายุมากกว่า ก็คงหนีไม่พ้นระบบ SOTUS ในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นระบบที่รุ่นพี่จะใช้อำนาจในการควบคุมหรือบังคับรุ่นน้องที่เข้ามาเรียนใหม่ๆ แต่ก็มักจะมีข่าวว่ารุ่นพี่ทำเกินกว่าเหตุจนเป็นผลกระทบถึงจิตใจและการดำเนินชีวิตของรุ่นน้อง ดังนั้นระบบในมหาวิทยาลัยแบบนี้ผมจึงไม่ค่อยเห็นด้วย แต่น่าจะเปลี่ยนระบบให้เป็น "พี่พบน้อง" เพื่อที่รุ่นพี่จะได้วางแนวทางการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยแก่รุ่นน้อง รุ่นน้องก็จะสามารถปรับตัวได้ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความเอาใจใส่ของรุ่นพี่ต่อรุ่นน้อง ในส่วนที่รุ่นน้องจะเคารพรุ่นพี่หรือไม่นั้น ก็ให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรุ่นน้องเองดีกว่า อย่าไปบังคับให้รุ่นน้องต้องไหว้คนนู้นคนนี้เลย เรียนจบไปก็ไม่ได้เจอกันอยู่ดี จริงมั๊ย ?

วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หนูโตขึ้นอยากเป็นอะไร ?

       พ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะถามลูกๆของเขาว่า โตขึ้นลูกฝันอยากเป็นอะไร ? ลูกก็คงใช้ความคิดสักพัก แล้วก็จะตอบอาชีพคล้ายๆกันว่า " อยากเป็นหมอ จะได้ช่วยรักษาคนไข้ " " อยากเป็นทหาร เพื่อที่จะปกป้องประเทศ " แต่หารู้ไม่ว่าเส้นทางการที่จะเป็นอาชีพนั้นๆได้ ต้องใช้ความพยายามเท่าไร ยิ่งอาชีพหมอ ที่ต้องเรียกว่ากินหนังสือแทนข้าว เด็กเหล่านั้นจะรู้หรือไม่ว่าเขาจะทำได้เพียงใด ? แล้วการเป็นทหารจะต้องผ่านการฝึกอันแสนทรหด เขาจะมีความอดทนเพียงพอหรือไม่

       สิ่งที่สังคมควรจะปรับเปลี่ยนในวันนี้คือ ควรถามกับเด็กๆว่า อนาคตลูกๆจะดูแลพ่อแม่อย่างไร ? คำถามนี้จะทำให้เด็กได้ใช้ความคิดมากขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่เด็กไม่ค่อยได้คิดว่าจะต้องทำในอนาคต เนื่องจากใช้ชีวิตโดยอาศัยเงินจากพ่อแม่อยู่เป็นประจำ คำถามแบบนี้ผมคิดว่าน่าจะดูดีกว่าการถามคำถามเดิมๆแล้วเด็กก็ตอบตามค่านิยมทางสังคมว่าอยากเป็นหมอ อยากเป็นทหาร ทั้งที่อาชีพในโลกนั้นมันก็ไม่ได้มีเพียง 2 อาชีพนี้เท่านั้น

       อย่างไรก็ตาม หากลูกยังไม่ได้คิดว่าอยากจะทำอะไร สิ่งที่สำคัญก็คือ พ่อแม่ควรจะสังเกตุว่าลูกของตนเองอยู่กับสิ่งใดได้นานๆ หรือลูกของตนชอบดูรายการทีวีเกี่ยวกับอะไร จากนั้นควรใช้เวลาพูดคุยกับลูกเป็นระยะๆ เพื่อที่เราจะสามารถค้นหาหนทางในการส่งเสริมให้ลูกได้เป็นในสิ่งที่เขาอยากเป็น

คนซื้อรถสปอร์ต = โง่ ?

       ผมเคยได้ยินคนพูดว่า " ไอพวกซื้อรถหรูๆอะโง่ทั้งนั้น แทนที่จะเก็บตังไว้ใช้ยามเจ็บไข้ " ซึ่งถ้าดูเผินๆก็เป็นเรื่องจริงที่คนเราควรมีการประกันความเสี่ยงในการดำเนินชีวิตไว้ เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะเป็นอะไรไป

       แต่สิ่งที่คนเหล่านั้นไม่รู้ คือ ในขณะที่คนรวยๆนั้นซื้อรถสปอร์ต คือ คนรวยๆคนนั้นอาจจะมีความมั่นคงทางชีวิตแล้วก็ได้ เขาอาจจะมีบ้านหลังใหญ่ที่มั่นคง มีเงินประกันสุขภาพ หรือประกันชีวิตพร้อมจ่ายให้ตนเอง พ่อแม่หรือญาติพี่น้องอยู่ตลอดเวลา หรืออาจเรียกได้ว่าคนเหล่านั้นมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว การที่เขาจะซื้อรถสปอร์ตก็คงไม่ใช่เรื่องโง่ ลองมองโลกในแง่ดีเขาอาจจะซื้อเพราะให้เป็นของขวัญแก่ตนเองที่พากเพียรสร้างฐานะจนร่ำรวยขึ้นมาได้ขนาดนี้ ฉะนั้นผมจึงคิดว่าการซื้อรถหรูนั้น อาจจะไม่ได้โง่เสมอไป

       แต่ถ้าคนที่ใฝ่ฝันอยากมีรถสปอร์ต พอเก็บเงินได้ก็ซื้อทันที โดยไม่ได้เตรียมเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉินเลย อันนี้ผมถือว่าโง่ เพราะคนเราควรจะมีการบริหารความเสี่ยงในชีวิตที่ดีก่อน จากนั้นค่อยทำตามความฝันก็ได้ แต่ก็เกิดคำถามขึ้นมาอีกว่า " พออายุเยอะขับรถสปอร์ตมันก็ได้ไม่เท่แล้วดิพี่ " อันนี้ก็แล้วแต่ชีวิตของคุณแล้วกันครับ

ซื้อบ้านก่อน VS ซื้อรถก่อน

ซื้อบ้านก่อน VS ซื้อรถก่อน

       คนทุกคนล้วนมีความฝันที่จะมีบ้านหลังใหญ่โต มีสนามหญ้าและสวนดอกไม้หน้าบ้าน อยากมีรถสปอร์ตขับอย่าง Lamboghini หรือ Ferrari แต่ก็จนปัญญาที่จะซื้อ แล้วเราจะทำอย่างไรดีที่ความฝันของเราจำเป็นจริงเสียที ? เราจะไปเป็นนายกฯ แล้วโกงกินดีกว่า อ๊ะคงไม่ดี (จะโดนลอบสังหารมั๊ย)

       ผมเคยถามถ้าพี่มีเงิน 10 ล้านน้องว่าจะซื้อบ้านหรือรถก่อนดี น้องก็ตอบมาว่า ก็ต้องซื้อบ้านก่อนดิ ไม่งั้นจะมีที่จอดรถได้ยังไง คำตอบของน้องอายุ 10 ขวบทำให้ผมอึ้งไปสักพัก แล้วก็กลับมาคิดว่ามันก็จริงแฮะ แต่ลองถามว่าผู้คนในปัจจุบันอยากได้อะไรมากกว่ากัน ก็คงจะตอบว่าอยากได้รถก่อน ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ เพราะไม่อยากไปใช้ขนส่งสาธารณะ มันไม่มีความส่วนตัว ไม่อยากต้องเบียดเสียดคนทำงานตอน 8.00น. ใน BTS หรือ MRT

       แต่เชื่อหรือไม่ว่าถ้าคุณไปซื้อรถด้วยความคิดที่ว่าอยากมีความส่วนตัว มันคงเป็นความคิดที่เอาแต่ใจเกินไปหน่อย คุณลองคำนวณค่าใช้จ่ายจากการใช้ขนส่งสาธารณะต่อวันกับใช้รถส่วนตัว คุณจะพบว่าการใช้รถส่วนตัวนั้นกินค่าใช้จ่ายของคนเรามากกว่ามาก แต่เพราะเราไม่ได้จ่ายในค่าใช้จ่ายเหล่านั้นทุกวัน เช่น ค่าน้ำมัน ค่าเสื่อมของรถ ค่าเปลี่ยนอะไหล่ มันจึงทำให้คนเราคิดว่าการใช้รถส่วนตัวนั้นประหยัดกว่า

       รถยนต์นั้นจะเสื่อมค่าลงทุกวัน โดยเฉลี่ยเราจะใช้รถได้อายุ 5-10 ปี แต่ถ้าเราซื้อบ้านก่อน จะพบว่าบ้านมีแต่ราคาจะเพิ่มขึ้นทุกวัน ด้วยการที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ประเภทหนึ่ง สาเหตุที่สำคัญที่ผมคิดว่ามันมีส่วนต่อราคาสินทรัพย์เหล่านี้ คือ การเจริญเติบโตของบ้านเมือง การขยายตัวของประชากร ยิ่งความเจริญแผ่ขยายมาจากเมืองใหญ่ๆ ราคาสินทรัพย์ทั้งในเมืองหรือตามชานเมืองก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ฉะนั้นการซื้อบ้านก่อนจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าแน่นอนครับ ซื้อบ้านในวันนี้ไม่แน่ว่าในอนาคต 20 ปีข้างหน้าราคาบ้านอาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเลยก็ได้ กลายเป็นได้รับประโยชน์ 2 เด้งจากการที่ได้อยู่อาศัยในบ้าน กับ ผลประโยชน์เมื่อเราขายบ้านก็ได้ผลตอบแทนเท่าตัว

     


     

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ทำยังไงถึงจะรวย VS ทำยังไงถึงจะไม่จน


       เมื่อเราลองค้นหาใน Google มักจะเจอผู้คนถามในกระทู้ต่างๆว่า "ทำยังไงถึงจะรวยครับ" "อยากรวยต้องทำธุรกิจใช่มั๊ยครับ" แต่เคยเห็นบ้างมั๊ยว่ามีใครเคยถามบ้างว่าทำยังไงถึงจะไม่จน คงจะหายากมากๆเลยสินะครับ สาเหตุก็เพราะคนที่ถามว่าทำยังไงถึงอยากรวย มักจะมองไปข้างหน้าว่าอนาคตเราจะต้องไปให้ถึงจุดๆนั้นให้ได้ เช่น อยากมีเงิน 100 ล้าน 1,000 ล้าน จึงต้องเสาะแสวงหาแนวทางหรือวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การลงทุนในหุ้น การสร้างธุรกิจ การหารายได้เสริม เป็นต้น เพื่อที่จะบรรลุความต้องการดังกล่าว แต่พอให้ทำเข้าจริงๆก็กลับบ่นว่า ขี้เกียจศึกษา ไม่ชอบทำอะไรเสี่ยงๆ สุดท้ายก็ทำได้แปปเดียวแล้วก็เลิกรากันไป

     
ผมอยากให้คุณลองเปลี่ยนความคิดมาที่ "ทำยังไงถึงจะไม่จน" ก็เพราะความคิดแบบนี้เป็นการมองไปข้างหลัง เพื่อให้เห็นว่าความจนกำลังไล่ตามเราอยู่ หลายคนคงจะสงสัยว่า แล้วจะเห็นเจ้าความจนนี้ไปเพื่ออะไร ? ผมก็จะตอบว่า เวลาที่คนเราอยู่ในภาวะวิกฤต หรือในภาวะที่ต้องเอาตัวรอด คนเราก็จะมีความพยายามอะไรบางอย่างที่ทำให้เราต้องค้นหาวิธีการที่ทำให้สามารถเอาตัวรอดไปให้ได้ มันจะเป็นตัวกระตุ้นให้เราเดินหน้าต่อไปด้วยความพยายามที่เรามีจนถึงที่สุด ในที่นี่ก็คือเจ้าความยากจนที่กำลังไล่ตามเราอยู่ เราจะต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อไม่ให้มันตามทัน เราหยุด 1 ก้าว มันก็จะขยับเข้าหาเราอีก 1 ก้าว



       หากจะเปรียบความยากจนเป็นอัตราเงินเฟ้อ ก็คงจะพอเปรียบเทียบได้ เพราะโลกทุกวันนี้นี้ต้องเผชิญกับข้าวของที่ราคาแพงขึ้น ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นปีละ 3% นั่นแปลว่าเงิน 100 บาทในวันนี้ หากไม่นำไปลงทุนหรือฝากธนาคาร ใน 1 ปีข้างหน้าเงิน 100 บาทจะเหลือเพียง 97 บาท ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? เพราะข้าวของเครื่องใช้ เมื่อเวลาผ่านไปราคาจะขยับเพิ่มขึ้นนั่นเอง เช่น ปกติเราซื้อข้าว 20 บาท/จาน ผ่านไปอีกปีราคาข้าวเพิ่มขึ้นเป็น 25 บาท/จาน ทำให้อำนาจซื้อในเงิน 100 บาทลดลง นั่นจึงแสดงให้เห็นว่าเราเริ่มจนลง เพราะความยากจนไล่ตามเราอยู่ตลอดเวลา

         เราลองมาเปรียบเทียบชีวิตของคนเรากับนิทานกระต่ายกับเต่าดูบ้าง เราคงเปรียบได้ว่าคนจนก็คือเต่า ส่วนคนรวยก็คือกระต่าย หากทั้งสองต้องมาวิ่งแข่งกัน แน่นอนว่ากระต่ายยังไงก็ชนะ เพราะกระต่ายมีทุนสูงกว่า เช่น ขายาวกว่า มีพละกำลังเยอะกว่า การจะก้าวเดินไปสู่เส้นชัยจึงง่ายกว่ามาก แล้วเต่าล่ะ การจะเดินไปในแต่ละครั้งเชื่องช้าจนไม่รู้ว่าเส้นชัยนั้นอยู่ที่ไหน แต่อย่าลืมว่าเส้นชัยมันก็ไม่ได้หนีเราไปไหน มันยังคงอยู่ที่เดิม หากวันนี้เต่าน้อยพยายามมากขึ้น ลองหาเส้นทางลัดที่จะสามารถไปสู่เส้นชัยได้เร็วขึ้น สักวันก็จะไปถึงเส้นชัยได้แน่นอน ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องไปเปรียบเทียบกับกระต่าย เพราะฐานะหรือทุนของเขาต่างกับเรามาก เราลองต่อสู้กับตัวเองและใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีนำพาเราสู่เส้นชัย

       สรุปก็คือ ผมอยากจะให้ทุกคนเปลี่ยนความคิดให้เราทำอะไรก็ได้ให้ไม่จน อย่าให้ความจนไล่ตามเราทัน เพราะการคิดที่เปรียบเสมือนมีสิ่งที่เลวร้ายไล่ตามเราอยู่ตลอดนั้น มันจะทำให้เรารู้สึกกลัวและไม่อยากพบเจอกับสิ่งเลวร้ายนั้น แล้วมันก็จะกระตุ้นให้เราทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอดจากมันนั่นเอง อย่าลืมนะครับว่า " ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที จงทำชีวิตของเราให้มีความสุขที่สุด "